เศรษฐกิจจะแย่ไปอีก 2 ปีอย่างต่ำ! คำเตือน ‘อดีตขุนคลัง’ ประชาชนควรถือเงินสดไว้/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

เศรษฐกิจจะแย่ไปอีก 2 ปีอย่างต่ำ!

คำเตือน ‘อดีตขุนคลัง’

ประชาชนควรถือเงินสดไว้

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้ปัญหาใหญ่ที่ทุกคนกำลังเผชิญกันอยู่ คือเรื่องของ “วิกฤตเศรษฐกิจ” รอบด้าน ทั้งโลกและในประเทศไทยล้วนรับผลสะเทือนนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ค่าครองชีพที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ภาวะของโลก ที่ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะดีขึ้นเมื่อไหร่

“มติชนสุดสัปดาห์” จึงหาโอกาสพูดคุยกับธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อมองโลก มองไทย และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินการคลังที่กำลังจะเกิดขึ้นจากนี้

อดีตขุนคลังมองว่า ในครึ่งปีหลัง 2565 จะเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐกิจที่ “ปราบเซียน” เพราะถ้าคนที่จะเข้ามาบริหาร ไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ปัญหาต่างๆ อย่างจริงจัง รับรองว่าครึ่งปีนี้จะแย่ลงไปอีกอย่างแน่นอน เปรียบเหมือนกับการลงบันไดเลื่อนแบบอัตโนมัติ และความย่ำแย่นี้จะกินระยะเวลาไปอีกประมาณ 2 ปี

จากในตอนแรกที่ดูเหมือนจะดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายบ้าง

แต่พอเกิด “สงครามยูเครน-รัสเซีย” ขึ้น ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่จะมามีผลกระทบกับเศรษฐกิจของโลกโดยตรง เพราะสงครามนี้มีการงัดมาตรการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมาใช้เป็นอาวุธ และแทบจะเรียกได้ว่าอาวุธนี้ “รุนแรงระดับนิวเคลียร์” เลยก็ว่าได้

โดยสงครามครั้งนี้ก้าวล้ำไปมากกว่าสงครามที่ผ่านๆ มาอยู่ 2 เรื่อง

เรื่องแรก คือเป็นครั้งแรกที่มีการห้ามธนาคารของรัสเซียโอนเงินให้กับธนาคารอื่นของโลก ผ่านระบบ swift

และเรื่องที่สอง ทางชาติตะวันตกได้มีการยึดทุนสำรองที่เป็นพันธบัตรที่ทางรัสเซียได้ทำการซื้อสำรองเอาไว้ อีกสาเหตุหนึ่งที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของโลก เนื่องจากประเทศยูเครนเป็นแหล่งผลิตอาหารแหล่งใหญ่ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวสาลี ข้าวโพด แล้วน้ำมันดอกทานตะวัน เมื่อเกิดสงครามขึ้นและมีการเข้าถล่มเมืองในยูเครน การขนส่งหรือการส่งออกสินค้าเหล่านี้ก็ทำได้ยากขึ้น ปัญหาที่จะตามมาคือเรื่องการขาดแคลนอาหารไปทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่อาหารของคน แต่จะรวมไปถึงอาหารของสัตว์ด้วย และประเทศรัสเซียเองก็เป็นประเทศที่ทำการผลิตปุ๋ยส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เพราะฉะนั้น การขายและส่งออกปุ๋ยไปยังประเทศต่างๆ ก็จะถูกชะลอลงตาม

โดยทั้งหมดที่ว่ามานี้ ทำให้ลักษณะของภาวะเศรษฐกิจโลกที่เราจะเจอ จะเป็นแบบ “เครื่องบินที่กำลังจะชนเข้ากับภูเขาลูกใหญ่”

ซึ่งเครื่องบินลำที่ว่านี้จะพุ่งชนภูเขาน้ำแข็งแน่นอน เพียงแต่ว่าจะมาในรูปแบบค่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย จนหลายๆ องค์กรหลายหน่วยงานไม่ทันได้เห็น และไม่ได้มีการเตรียมตัวที่จะรับมือกับสถานการณ์เหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย

ธีระชัยมองว่า ตอนนี้การทำงานของ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำเหมือนกับว่ากำลังมองเหตุการณ์เหล่านั้น เหมือนการดู Netflix” หมายความว่า เขาไม่ได้กระทำการกระตือรือร้นต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ได้มีการมองไปข้างหน้าว่าควรจะหาทางรับมือกับภาวะเศรษฐกิจเหล่านี้อย่างไรอย่างที่ผู้นำหลายๆ ประเทศเขาได้ทำกัน

เพราะฉะนั้น ในความคิดเห็นของผม จึงมองว่า “เศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง และในอีกปีหน้าและถัดไป จะมีลักษณะเหมือนลงเหว ณ ตอนนี้ยังอยู่แค่ปากเหวเท่านั้น” และ “ถ้าถามว่าถึงจุดต่ำสุดรึยัง คงต้องตอบว่ายังครับ ยังต้องลงไปอีก”

เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับเทกแอ๊กชั่นของรัฐบาลที่ดูเหมือนไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่นักของรัฐบาลนี้ น่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด อดีต รมว.คลังกล่าวว่า อาจเป็นเพราะรัฐบาลไม่ได้มีความเข้าใจและตระหนักถึงปัญหาจริงๆ มาถึงวันนี้ต้องมีการมองไปถึงกลไกของเศรษฐกิจโลก จะมาเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ถึงแม้ว่าตัวท่านนายกฯ เองจะมีการสั่งให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช) ได้ทำการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ของสงครามยูเครน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเพียงพอต่อการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้

“ตัวท่านนายกฯ เองคงคิดอยู่ในใจว่าท่านเอาอยู่ เข้าใจปัญหาทั้งหมด และคงจะไปรอด แต่ผมว่าในแง่ของประชาชนเนี่ยค่อนข้างน่าเป็นห่วง”

มาตรการในช่วงตอนวิกฤตโควิดที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ได้มีการใช้นโยบายการคลัง คือนำเงินของรัฐมาใช้ “เป็นกระสุน” เพื่อที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้ไปรอด แต่บังเอิญ “ท่านทำมากเกินไป”

ยกตัวอย่างเช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน คนที่มีฐานะหรือมีเงินอยู่แล้ว ก็มาใช้โครงการนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นโรงแรมต่างๆ ก็มีการลดราคาอยู่แล้ว และท่านนายกฯ ก็ยังไปแถมเงินให้กับเหล่าบรรดาคนรวยอีก มันเลยกลายเป็นว่าเงินตรงนี้มันถูกใช้ไปเกินกำลังของรัฐ และบังเอิญว่าเงินที่นำมาทำ นำมาแจกในโครงการต่างๆ นี้เป็นเงินที่กู้มา มันเลยกลายเป็นว่าเป็นการทำเกินกำลังเกินตัวไป และเงินเหล่านี้ถูกใช้หมดตั้งแต่สถานการณ์โควิด

พอเกิดสงครามยูเครนขึ้นมา เลยทำให้กระสุนเหล่านี้เหลือไม่เพียงพอที่จะมาให้ใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

 

อดีต รมว.คลังยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า หนี้สาธารณะของทุกรัฐบาลก่อนหน้าปี พ.ศ.2557 มีอยู่ประมาณ 5 ล้านล้านบาท แต่ในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมานี้ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ได้เพิ่มหนี้ขึ้นไปเป็น 10 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2 เท่า และหนี้จำนวน 5 ล้านล้านบาทที่ถูกพูดถึงนี้เป็นหนี้ที่สะสมมาเป็นเวลา 80 กว่าปี ในทุกรัฐบาลก่อนหน้าท่าน

“นี่ถือว่าเป็นฝีมือเลยนะ ว่า พล.อ.ประยุทธ์สามารถที่จะเบ่งภาระหนี้ของประเทศให้ขึ้นไปเท่าตัวกว่าทุกรัฐบาลตลอด 80 ปี ซึ่งท่านทำได้ภายในระยะเวลาเพียง 8 ปีเท่านั้น!”

เพราะฉะนั้น สิ่งที่อยากจะเตือนประชาชนในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ คือต้องมีการเก็บเงินสดไว้ในมือ วิถีชีวิตที่เดิมมีการใช้จ่ายในลักษณะเอ็นเตอร์เทนตัวเองหรือให้รางวัลตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องการกินการใช้จ่ายต่างๆ ก็ต้องงด ต้องประหยัดไว้ก่อน

และอีกสิ่งที่สำคัญคือต้องมีการเรียกร้องให้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หรือ พล.อ.ประยุทธ์เอง ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ให้ประชาชนคนไทยรู้ ว่าปัญหาที่ท่านมองเห็นท่านมองว่ายังไง หนักขนาดไหน และมีวิธีการดำเนินการเพื่อจะแก้ไขอย่างไร

“การที่รัฐบาลกู้เงินมาขนาดนี้ เปรียบเสมือนกับว่า พ่อหรือหัวหน้าครอบครัวมีปัญหา ทำงานได้ลดลง รายได้ลดลง แต่พ่อได้ไปรูดการ์ดเอาเงินมา เพื่อที่จะให้ลูกๆ หลานๆ สามารถประคับประคองอยู่กินได้เหมือนปกติ ซึ่งแบบนี้มันจะพยุงได้ไม่นาน”

แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือให้ประชาชนเขาสามารถยืนด้วยขาของตนเองได้

 

อีกประเด็นอยากฝากเป็นโจทย์ให้กับรัฐบาลและพรรคการเมืองในอนาคตที่จะเข้ามาบริหารประเทศ และต้องมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่อยู่ตอนนี้ คือ แต่ละพรรคต้องมีการแจงออกมาว่า เมื่อประเทศขาดอาวุธ ขาดกระสุนเพื่อสู้กับสงครามเศรษฐกิจ จะแก้ไขมันอย่างไร แล้วจะทำให้ประชาชนไปรอดในสภาวะนี้ได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันได้นำเงินที่มีอยู่ไปใช้จนแทบจะหมดแล้ว

เนื่องจากปกติเวลาที่พรรคการเมืองหาเสียง จะเป็นการพูดในแง่ของนโยบายที่ว่า พรรคไหนจะให้ประชานิยม หรือพูดง่ายๆ คล้ายๆ กับการซื้อเสียงจากประชาชนกลายๆ ว่าใครจะให้ได้มากหรือน้อยกว่ากัน โครงการต่างๆ ที่เห็นกันจะมาในแง่การเอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์ในเชิงการกุศล ซึ่ง ณ เวลานี้ ไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้อีกแล้ว เพราะประชาชนเกิดการตระหนักในสิ่งต่างๆ มากกว่าเดิมแล้ว

ก่อนทิ้งท้ายว่า “เนื่องจากกระสุนมันเหลือน้อย ดังนั้น คนที่จะมารับไม้ต่อ จะไม่ได้สบายเหมือนรัฐบาลปัจจุบันแน่นอน เพราะฉะนั้น นี่แหละที่ถือเป็นลักษณะของการบริหารปราบเซียน ถ้าใครเข้ามาแล้วฝีมือไม่ถึงก็จะเน่า แล้วประชาชนก็จะเน่าไปพร้อมกันด้วย”

ชมคลิป