นงนุช สิงหเดชะ/โลกในมือ “เฒ่าทารก+เด็กแว้น”

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

โลกในมือ “เฒ่าทารก+เด็กแว้น”

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเพิ่มสูงขึ้นในระดับที่สร้างความกังวลต่อนานาประเทศ อาจกล่าวได้ว่าความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียได้เกิดขึ้นแล้ว จนไม่มีใครกล้ารับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าสงครามครั้งใหม่จะไม่เกิดขึ้น

ความตึงเครียดนั้นเกิดจากฝีมือของเฒ่าทารก โดนัลด์ ทรัมป์ กับเด็กแว้น คิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือ ที่ต่างสาดน้ำลายใส่กันรุนแรงขึ้นทุกขณะ

ฝ่ายเฒ่าทารกเป็น “ทวิตเตอร์แมน” ที่ชอบพูดอะไรต่อมิอะไรอย่างขาดการไตร่ตรองยั้งคิด ขาดความเป็นมืออาชีพ ขาดความรู้ทางการทูตและวิเทโศบาย ทำให้ขณะนี้สหรัฐอเมริกาไม่สามารถเป็นหัวหลักหัวตอที่น่าเชื่อถือให้กับโลกได้เลย

มีสภาพใกล้เคียงกับ “ตลกหมายเลข 1” ของโลกไปแล้ว

เมื่อเฒ่าทารกเจอกับเด็กแว้นอย่าง คิม จอง อึน ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งฉายาให้ว่า “ร็อกเก็ตแมน” เพราะชอบยิงจรวด โลกนี้จึงตกอยู่ในอาการปวดเศียรเวียนเกล้า ใจคอไม่ดี เพราะทั้งคู่อาจยกระดับจากสงครามคำพูดไปสู่สงครามจริงได้ทุกเมื่อ

ปฐมเหตุของเรื่องเริ่มมาจากการที่เกาหลีเหนือได้เดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อ้างว่าเพื่อป้องกันตนเองจากการรุกรานของอเมริกา ขณะที่อเมริกาเองก็มีพันธะต้องปกป้องเกาหลีใต้จากการเข้ายึดครองของเกาหลีเหนือซ้ำอีก และหากเป็นไปได้ก็โค่นล้มเกาหลีเหนือในฐานะประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยเสียเลย

อาจกล่าวได้ว่านับจากสิ้นสุดสงครามเกาหลีนั้น วัตถุประสงค์ของเกาหลีเหนือไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือต้องการรักษาระบอบการปกครองของตนไว้ และไล่กองกำลังของอเมริกาออกไปจากเกาหลีใต้

ต่อจากนั้นก็จะเข้ารุกรานเกาหลีใต้

ดังนั้น การที่อเมริกายังคงกำลังทางทหารไว้ในเกาหลีใต้ก็ดูสมเหตุผล แม้เกาหลีเหนือจะโวยวายว่าอเมริกาคุกคามและเรียกร้องให้หยุดการซ้อมรบหรือถอนกำลังออกไปจากเกาหลีใต้ก็ตาม

ในเมื่อประเมินแล้วว่าถ้าสู้กันด้วยอาวุธธรรมดา เกาหลีเหนือไม่มีทางสู้กับอเมริกาได้เลย ดังนั้น อาวุธนิวเคลียร์จึงเป็นคำตอบเดียวของ คิม จอง อึน เพื่อขู่ฝ่ายตรงข้ามไม่ให้กล้าลงมือกับเกาหลีเหนือ

เกาหลีเหนือได้ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์มา 6 ครั้ง แล้ว และดูเหมือนปีนี้จะถี่เป็นพิเศษ โดยไม่สนใจต่อแรงกดดันและประณามของประชาคมโลก ยิ่งถูกแซงก์ชั่น เกาหลีเหนือก็ยิ่งเพิ่มความก้าวร้าว มีการขู่จะยิงขีปนาวุธถล่มเกาะกวมซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐในแปซิฟิก รวมทั้งญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐด้วย

ที่ถือว่ารุนแรงและฮือฮามากก็คือกรณีที่เกาหลีเหนือยิงจรวดผ่านน่านฟ้าของญี่ปุ่นเหนือเกาะฮอกไกโดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมาก่อนตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีที่เกาหลีเหนือยิงข้ามดินแดนของญี่ปุ่น เพื่อแสดงศักยภาพว่าขีปนาวุธของเกาหลีเหนือสามารถยิงไกลไปถึงดินแดนสหรัฐได้ การยิงดังกล่าวเกิดขึ้นในห้วงที่อเมริกากำลังร่วมซ้อมรบกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

ผลจากครั้งนั้นทำให้สหประชาชาติมีมติแซงก์ชั่นเกาหลีเหนือ แต่ถึงกระนั้นวันที่ 3 กันยายน เกาหลีเหนือก็ยังเดินหน้าทดสอบนิวเคลียร์ เพียงแต่ครั้งนี้ทำใต้ดินในพื้นที่ของเกาหลีเหนือเอง จนก่อให้เกิดแรงสั่นไหวค่อนข้างแรง ต่อมาวันที่ 15 กันยายน เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามดินแดนญี่ปุ่นบริเวณเกาะฮอกไกโดอีก ซึ่งว่ากันว่าคราวนี้จรวดของคิมน้อยยิงได้ไกลกว่าเดิม ทำให้สหประชาชาติยกระดับการแซงก์ชั่นมากกว่าเดิม

ทว่า หลังจากญี่ปุ่นติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธแพทริออตที่ฮอกไกโดเพื่อเตรียมสอยจรวดของโสมแดง ก็ยังไม่ปรากฏว่า คิม จอง อึน กล้ายิงขีปนาวุธผ่านดินแดนญี่ปุ่นอีก

จนถึงตอนนี้เป็นที่แน่นอนว่าเกาหลีเหนือสามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไฮโดรเจนได้สำเร็จและสามารถนำไปใช้เป็นหัวรบเพื่อยิงฝ่ายศัตรูได้แล้ว

วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย (รัสเซียเคยสนับสนุนเกาหลีเหนือในช่วงสงครามเกาหลี) ระบุว่าการที่เกาหลีเหนือไม่ยกเลิกการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะว่าถ้ายกเลิกเมื่อไหร่ ก็เท่ากับออกบัตรเชิญให้ตัวเองไปสู่สุสาน

คำพูดของปูตินนับว่าถูกต้อง เพราะตรงกับการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญที่ว่า เหตุที่ คิม จอง อึน มุ่งมั่นที่จะมีนิวเคลียร์เอาไว้ก็เพราะเห็นตัวอย่างจาก โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำจอมเผด็จการของลิเบียแล้วว่า เขาถูกโค่นอำนาจและสังหารหลังจากเลิกล้มการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

สำหรับท่าทีของจีนและรัสเซียต่อประเด็นเกาหลีเหนือนั้น ไม่น่าแปลกใจหากจะดูซอฟต์เป็นพิเศษ เพราะในอดีตสองประเทศก็คือผู้หนุนหลังเกาหลีเหนือให้ยึดครองเกาหลีใต้จนกลายเป็นสงครามเกาหลี

โดยจีนนั้นแสดงท่าทีว่า หากเกาหลีเหนือเป็นฝ่ายลงมือก่อสงครามก่อนและอเมริกาตอบโต้ ทางจีนจะอยู่เฉยๆ แต่ถ้าหากอเมริกาลงมือก่อนและทำลายระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือ จีนก็ไม่สามารถจะอยู่เฉยได้

เหตุที่จีนแสดงท่าทีปกป้องก็เพราะเกาหลีเหนือเป็นเพียงประเทศเดียวในบริเวณนี้ที่เป็นกันชนให้กับจีนในฐานะประเทศที่มีระบบปกครองเดียวกัน หากเกาหลีเหนือถูกทะลวงเมื่อไหร่ จีนก็ย่อมไม่ปลอดภัยจากประเทศที่มีระบบปกครองตรงข้ามกับจีน นอกจากนั้นหากเกาหลีเหนือล่มสลาย จะมีคลื่นผู้อพยพหลั่งไหลเข้าไปในจีน

ยังไม่มีใครบอกได้ว่า การขู่กันด้วยวาจาระหว่างเฒ่าทารกกับเด็กแว้นจะดำเนินไปอีกยาวนานเท่าไหร่ แม้ฟังแล้วจะเครียดน่ารำคาญ แต่ก็ตลกไปด้วย เพราะได้แต่ขู่กันไปมาจนคำขู่หมดความศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว รอฟังแต่ว่าคำขู่ของใครจะตลกกว่ากันเท่านั้น

คิมน้อยนั้น ก็คือเด็กแว้นใจร้อนที่มีนิสัยบ้าระห่ำแบบโง่ๆ ไม่ประมาณตน ถ้าคิมน้อยลงมือก่อนเมื่อไหร่ ก็จะเป็นการออกบัตรเชิญให้ตัวเองไปสู่สุสานเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะนั่นเท่ากับจะสร้างความชอบธรรมให้กับอเมริกาและชาติพันธมิตรในการกำจัดเกาหลีเหนือออกไปจากแผนที่โลก

ส่วนเฒ่าทารก โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ก็คงขายอาวุธได้มากขึ้น เพราะเมื่อไปพูดยั่วยุคิมน้อยบ่อยเท่าไหร่ คิมน้อยก็จะแสดงฤทธิ์เดชใส่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น กระทั่งต้องจัดซื้ออาวุธจากอเมริกาเพื่อป้องกันตัวเองจากคิมน้อย

เห็นได้ว่าล่าสุดนี้ เกาหลีใต้ต้องติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ “ทาด” จากสหรัฐ ส่วนญี่ปุ่นต้องติดตั้งแพทริออตซึ่งเป็นขีปนาวุธสำหรับต่อต้านขีปนาวุธ (ของสหรัฐเช่นกัน) เพิ่มเติมที่ฮอกไกโด หลังจากก่อนหน้านี้ติดตั้งที่โตเกียวไปแล้ว