ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กรกฎาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
ฟินแลนด์เล็กพริกขี้หนู
กับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่รัสเซีย
เมื่อฟินแลนด์ (ประชากร 5.5 ล้าน) ประกาศจะจับคู่กับสวีเดนขอเข้าเป็นสมาชิก NATO แน่นอนว่าพี่เบิ้มข้างบ้านอย่างรัสเซีย (ประชากร 146 ล้าน) ต้องคำรามด้วยเสียงอันดังว่า “แน่ใจแล้วหรือ?”
คำตอบคือ “แน่ใจแล้ว…เพราะพี่ท่านไม่เคยน่ากลัวขนาดนี้”
ฟินแลนด์รักษานโยบาย “เป็นกลาง” กับรัสเซียมาตลอดเพราะไม่ต้องการเป็นปรปักษ์กับมอสโก
ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียเคยแสดงความชื่นชมที่ฟินแลนด์ไม่เคยแสดงตนโอนเอียงไปทางตะวันตก
แต่เมื่อเกิดสงครามยูเครน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป
ย้อนกลับไปดูอดีตเมื่อไม่นานมานี้ ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง จะเห็นว่าฟินแลนด์ซึ่งมีชายแดนติดกับรัสเซียยาวกว่า 1,400 กิโลเมตร ก็เคยยืนหยัดต่อสู้มาอย่างหนักหน่วงแล้วเช่นกัน
นักประวัติศาสตร์บางคนเคยประกาศเอาไว้ด้วยซ้ำว่าฟินแลนด์คือประเทศเล็กๆ ที่เคยเอาชนะทั้งโซเวียตและนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้วด้วยซ้ำ
บางบทของประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2482 คือวันที่ฟินแลนด์ถูกสหภาพโซเวียตบุกโดยมีเป้าหมายเพื่อยึดครอง
ในช่วงนั้น ฟินแลนด์เผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่ไม่มีทางเลือก ถูกดูดเข้าสู่กระแสน้ำวนของสงครามโลกครั้งที่สองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้รุกรานใช้กองกำลังติดอาวุธและอำนาจการยิงที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น
กองกำลังคอมมิวนิสต์ได้พุ่งทะยานข้ามพรมแดนโดยหวังว่าจะเผด็จศึกอย่างรวดเร็วและง่ายดาย
ปฏิบัติการครั้งนั้น โซเวียตหวังที่จะดันเส้นแบ่งพรมแดนฟินแลนด์ให้ได้บางส่วนกลับคืนมา
โดยเฉพาะบริเวณเลนินกราด
เป็นที่รู้กันว่าเลนินกราดเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในสหภาพโซเวียตที่อยู่ใกล้กับชายแดนฟินแลนด์
โซเวียตเกรงว่าพรมแดนระหว่างประเทศที่ใกล้ชิดเช่นนี้จะถูกนำมาใช้โจมตีมหานครทางยุทธศาสตร์ในกรณีที่เกิดสงคราม
ในจินตนาการของผู้นำโซเวียตบางคนขณะนั้น เปรียบเหมือนกับการทำ “สงครามสมมุติ” กับนาซีเยอรมัน
ปฏิบัติการของโซเวียตในฟินแลนด์ครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางการสู้รบยาวนานถึงห้าปีครึ่งที่โหดร้ายทารุณสำหรับผู้ถูกรุกราน
แต่ผลที่ออกมาคือประเทศเล็กๆ อย่างฟินแลนด์ต้องต่อกรกับประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกในขณะนั้น
และไม่เพียงแต่เอาชีวิตรอดเท่านั้น
ยังสามารถประกาศชัยชนะได้อีกด้วย
สงครามฟินแลนด์กับสหภาพโซเวียตลากยาวจากปี 2482 ถึง 2487
ว่าตามหลักฐานทางการแล้ว “สงครามฤดูหนาว” นั้นสั้นมากแต่โหดเหี้ยมไม่เบา
สงครามเริ่มต้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2482 และสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2483
กองทัพแดงซึ่งมีความภาคภูมิในประวัติการสู้รบที่ไม่เป็นสองรองใครต้องเจอกับบทเรียนราคาแพงยิ่ง
เพราะแทนที่จะกดดันบังคับให้ประเทศเล็กกว่ามากมายต้องยอมจำนนอย่างง่ายดาย แต่กลับถูกตีโต้ออกจากฟินแลนด์ด้วยแรงฮึดและความช่ำชองภูมิประเทศมากกว่า
มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากกว่า 300,000 คน เฉพาะที่เสียชีวิตในสนามรบมีไม่น้อยกว่า 150,000 คน
ความจริง สหภาพโซเวียตสามารถรักษาดินแดนทางเหนือของเลนินกราดได้สำเร็จ
แต่ก็ต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล
แม้จะมีการบรรลุข้อตกลงสงบศึกที่ลงนามในปี 2483 แต่ฟินแลนด์จะไม่นั่งเฉยและปล่อยให้โซเวียตปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว
แต่การหยุดยิงเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น
เพราะผ่านไปเพียงหนึ่งปี ฟินแลนด์และสหภาพโซเวียตก็เปิดศึกสงครามอีกครั้ง
คราวนี้สถานการณ์พลิกผัน
ฟินแลนด์กลายเป็นยืนอยู่ระนาบเดียวกับนาซีเยอรมันโดยปริยาย
เพราะฟินแลนด์ยอมให้การสนับสนุนในระดับ “พอประมาณ” แก่นาซีระหว่างปฏิบัติการบาร์บารอสซาที่เยอรมนีบุกสหภาพโซเวียต
พอนาซีบุกสหภาพโซเวียตก็เปิดช่องทางให้ฟินแลนด์ดำเนินกิจกรรมที่จำเป็นเพื่อกลับมาควบคุมดินแดนที่สูญเสียไประหว่างสงครามฤดูหนาว
พอการต่อสู้ครั้งใหม่ปะทุขึ้น ฟินแลนด์ก็กลายเป็นฝ่ายรุกโจมตี ผลักดันกองทัพแดงที่เหลือซึ่งแตกกระสานซ่านเซ็นอย่างไร้ระเบียบไปไปทิศทางของเมืองเลนินกราด
การสู้รบรอบนั้นได้ชื่อว่า Continuation War หรือ “สงครามต่อเนื่อง”
เป็นภาพของทหารฟินแลนด์จับมือนาซีเยอรมันสู้รบกับสหภาพโซเวียต
ทำให้พันธมิตรตะวันตกมองฟินแลนด์เป็นฝ่ายตรงกันข้ามทันที
การที่ฟินแลนด์สนับสนุนให้นาซีรุกรานสหภาพโซเวียตและปฏิเสธที่จะทำข้อตกลงสันติภาพกับโซเวียตทำให้ฝ่ายพันธมิตรไม่พอใจ
อังกฤษประกาศสงครามกับฟินแลนด์เพราะอังกฤษต้องการแสดงการสนับสนุนสหภาพโซเวียตที่เป็นพันธมิตรสำคัญในขณะนั้น
แต่ต่อมาอีกฉากหนึ่งของสงครามก็คือระหว่างฟินแลนด์กับนาซีเยอรมันในช่วงปี 2487-2488
ในปี 2487 ฟินแลนด์ลงนามสงบศึกกับสหภาพโซเวียต
เป็นจุดเริ่มต้นของการยุติการสู้รบระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่ปะทุขึ้นเป็นช่วงๆ มาตลอด
นำไปสู่ความสงบระหว่างฟินแลนด์กับสหภาพโซเวียตที่ยาวนาน
ไม่ช้าไม่นาน นาซีเยอรมันเจอสัจธรรมว่าการทำสงครามกับสหภาพโซเวียตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
แต่ฟินแลนด์ก็สร้างความประหลาดใจด้วยการสามารถดิ้นรนเอาชนะศัตรูที่เหนือกว่าเกือบทุกประตู
ส่วนหนึ่งของข้อตกลงสงบศึกใหม่ที่ลงนามในปี 2487 ระบุว่าฟินแลนด์ตกลงที่จะปลดอาวุธและขับไล่กองกำลังเยอรมันที่เหลืออยู่ทั้งหมดในประเทศ
เงื่อนไขนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ.2487 และนั่นมีผลทำให้ฟินแลนด์ต้องเปิดศึกกับนาซีเยอรมันที่เคยรบข้างเดียวกันมาก่อน
กระนั้นก็ตาม เยอรมนีขณะนั้นก็ยังคงมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์อยู่ในฟินแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคแลปแลนด์ (Lapland) ซึ่งอยู่ทางเหนือสุด
เพราะเป็นภูมิภาคที่เยอรมนีสามารถเข้าถึงเหมืองโลหะที่สำคัญได้อย่างปลอดภัย
สิ่งที่ตามมาก็คือกองทัพฟินแลนด์ได้เคลื่อนพลเข้าปะทะกับกองทัพเยอรมันทั้งในและนอกประเทศฟินแลนด์
ความขัดแย้งนี้เรียกว่า Lapland War หรือ “สงครามแลปแลนด์”
สงครามนี้ทำให้ฮิตเลอร์ให้ความสนใจต่อจุดเล็กๆ ในฟินแลนด์มากเกินกว่าที่ควร
เยอรมนีจะไม่ยอมให้ฟินแลนด์ขัดขวางแผนการที่จะทำสงครามรุกคืบส่วนอื่นๆ ในยุโรป
หรือใช้ฟินแลนด์เป็นจุดตอบโต้หากนาซีเยอรมันถูกโจมตี
และแล้วทหารเยอรมันเจอกับสิ่งที่สหภาพโซเวียตเคยเผชิญ นั่นคือการยึดครองจุดยุทธศาสตร์ในฟินแลนด์เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
ทหารเยอรมันอาจจะไม่ได้ต้องเสียเลือดเนื้อในการทำสงครามในฟินแลนด์มากนัก แต่ก็ต้องเปลืองเวลาและความสนใจที่สูญเปล่าเพราะแรงต้านในฟินแลนด์
แม้เยอรมนีจะส่งทหารเกือบ 250,000 คนเข้าสู้รบในฟินแลนด์ แต่ก็ไม่อาจจะประกาศชัยชนะที่เป็นเรื่องเป็นราว
ที่ก่อความเสียหายมากที่สุดสำหรับฟินแลนด์ดูเหมือนจะเป็นการที่ทหารเยอรมันโกรธแค้นว่าทำอะไรมากไม่ได้ จึงจุดไฟเผาบ้านเรือนผู้คนก่อนที่จะล่าถอยออกไป
ต้องยอมรับว่าฟินแลนด์สร้างประวัติการสู้รบที่น่าประทับใจเพราะไม่มีประเทศอื่นใดที่ต้องต่อสู้กับทั้งนาซีเยอรมันและสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทั้งคู่
ฟินแลนด์ต่อสู้กับสหภาพโซเวียตที่จบลงแบบ “เสมอกัน” ถึง 2 ครั้ง
โซเวียตมีทั้งปืนและคนที่มากกว่าฟินแลนด์มากมาย
และแล้วท้ายที่สุดฟินแลนด์ก็เข้าร่วมกับพันธมิตรตะวันตกขับไล่ทหารเยอรมันออกจากประเทศของตน
และถือว่าเป็นประเทศที่อยู่ข้าง “ผู้ชนะ” เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลงในปี 2488
ต่อมาในปี 2490 ฟินแลนด์ก็ลงนามสนสนธิสัญญาสันติภาพกับสหภาพโซเวียต
วันนี้เรากำลังเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเมื่อรัสเซียขู่ฟินแลนด์ว่าถ้าหากเข้าร่วม NATO ความตึงเครียดก็จะกลับมาหลอกหลอนเพื่อนบ้านสองประเทศนี้อีกครั้ง