คำ ผกา | โควิดและภาวะใส่หน้ากาก (เข้าหากัน)

คำ ผกา

ตั้งแต่มีการระบาดของโควิด สิ่งหนึ่งในประเทศไทยที่รบกวนจิตใจของฉันอย่างหนักคือ การรณรงค์ด้วยข้อความว่า “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”

รบกวนจิตใจฉันมากกว่านั้นคือ คนไทยส่วนมากเห็นด้วยและไม่คิดว่าคำพูดแบบนี้มีปัญหา

ถามว่าปัญหาคืออะไร ในการรณรงค์แบบนี้ มันเท่ากับว่ารัฐได้บอกประชาชนกลายๆ ว่า การระบาดของโควิดไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐ ถ้าหากจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นอันเนื่องจากโควิด มันเกิดจากการที่ประชาชนขาดจิตสำนึก ไร้ความรับผิดชอบ ไม่รู้จักเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม (อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ)

ทั้งๆ ที่ปัญหาโควิดเป็นสิ่งที่รัฐพึงอธิบายให้ประชาชนฟังได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้

หนึ่ง โรคระบาด เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ป่วยการจะตีโพยตีพายหรือหาใครสักคนมาเป็นแพะรับบาป แต่สิ่งที่ควรทำคือ รับมือกับมัน

สอง การรับมือกับโรคระบาด อาจทำได้ด้วยการคัดกรองผู้คนที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ หรือแม้กระทั่งระงับการเดินทางเข้า-ออกประเทศชั่วคราวในระยะเวลาที่กำหนด

สาม ประเมินศักยภาพทางเศรษฐกิจ ความสามารถทางสาธารณสุขตามความเป็นจริง และสร้างสมดุลระหว่างสองหน่วยนี้โดยให้กระทบต่อชีวิตประจำวันและการทำมาหากินของประชาชนให้น้อยที่สุด และหากต้องใช้มาตรการปิดเมือง รัฐบาลต้องประเมินความสามารถทางงบประมาณของตนเองว่าสามารถชดเชยรายได้ที่หายไปของประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน

สี่ ให้ความรู้กับประชาชนมากกว่าให้ความกลัว ในกรณีโควิด รัฐบาลควรสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนตั้งแต่แรกว่าคนติดโควิดมีทั้งแสดงอาการและไม่แสดงอาการ และย้ำให้หนักแน่นว่า คนไม่แสดงอาการ ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ สามารถดูแลตนเองที่บ้านได้

ห้า ไม่จำเป็นต้องมี ศบค.

หก ไม่จำเป็นต้อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เจ็ด เมื่อมีนวัตกรรมเอทีเคออกมาให้รีบนำมาให้อย่างกว้างขวาง เพราะนี่คือการคัดกรองที่ดีที่สุด

แปด เมื่อมีวัคซีนคุณภาพสูง ให้ทำทุกวิถีทางที่จะบริหารวัคซีนให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งการป้องกันการระบาด นั่นคือ ต้องได้วัคซีนที่ดีที่สุด คิดกระจายวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างไรเพื่อผลในการป้องกันการแพร่ระบาดที่ดีที่สุด เมื่อมีวัคซีนมากขึ้นก็ค่อยๆ กระจายไปให้ทั่วถึง

เก้า เมื่อมีโควิดสายพันธุ์ใหม่ก็ต้องอัพเดตความรู้ วิธีการป้องกันและดูแลตัวเองแบบที่ไม่แพนิก ตื่นตระหนกจนเกินกว่าเหตุ

สิบ บริหารระบบ HI และ CI ให้ดีที่สุด เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่โรงพยาบาลไม่ต้องเจอปัญหาคนไข้ล้นเกิน บุคลากรไม่พียงพอ

แต่เนื่องจากรัฐบาลไทยทำทั้งสิบข้อนี้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ และทำโดยหวังผลทางการเมืองมากกว่าผลทางสาธารณสุขด้วยตัวของมันเอง (ทุกวันนี้ยังไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ปรากฏการณ์โควิดในประเทศไทยจึงมีภาวะพิลึกพิลั่นแต่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเมืองแบบ “ไทยๆ” อย่างชนิดที่คนไทยก็เชื่องและสยบยอมต่อสิ่งนี้อย่างประหลาด

เช่น คนไทยใส่หน้ากากแบบใส่เยอะมาก ใส่ตามคำสั่ง แต่ไม่ได้ใส่ตามหลักการป้องกันโรค เช่น ใส่ตลอดเวลา แต่หน้ากากที่ใส่สกปรกมาก ใส่หน้ากากไปพร้อมๆ กับการถอดหน้ากากลืมไว้ตรงนั้นตรงนี้ รวมไปถึงทิ้งหน้ากากอย่างมักง่าย

ไม่นับคนที่ใช้หน้ากากอันเดียวซ้ำไปสามวัน เพราะมันสิ้นเปลือง ไม่นับหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่รู้ว่าผลิตที่ไหน อย่างไร สะอาดหรือไม่ที่ขายกันเกลื่อนตามข้างถนน

แต่เพราะเราใส่หน้ากากตามการรณรงค์ ใส่เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนอื่น เราใส่หน้ากากกันด้วยความเชื่อมากกว่าใส่ด้วยเหตุและผล

ใส่เหมือนเอาพระมาห้อยคอแล้วเชื่อว่ามันจะปลอดภัย

ใส่เพราะกลัวคนอื่นจะประณามว่า ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ฯลฯ

หรือเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่สามารถตรวจจับอะไรได้จริง แต่เราก็ไม่ได้แคร์ในเรื่องนั้น

สิ่งที่เราแคร์คือ พิธีกรรม ขั้นตอน ที่ครบถ้วน แล้วเราจะปลอดจากการถูกครหาว่า ไม่ทำตามกฎ

และอีกครั้ง เราต้องทำอะไรให้เยอะๆ รุงรัง ยุ่งยากเข้าไว้ เพราะยิ่งยาก แปลว่า เรายิงใส่ใจ เรายิ่งเคร่งครัด

แต่ผลทางวิทยาศาสตร์ ช่างแม่งเถอะ

และจนมาถึงการตรวจโควิด

ฉันประหลาดใจกับคนจำนวนมากที่ตรวจโควิด ชนิดตรวจทุกวัน ตรวจโดยไม่ต้องมีต้นสายปลายเหตุ ตรวจโดยที่ไม่มีอาการอะไร

บางคนตรวจเพราะพารานอยด์ว่าตัวเองจะเป็น ตรวจแล้วไม่เป็นก็ตรวจอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่เป็นก็ไม่แล้ว ใจสงสัยอยู่นั่นว่า ผลตรวจอาจจะผิด

สุดท้ายนำมาซึ่งการเอาตัวเองไปตรวจ Rt PCR แบบไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองเงินทอง และเสียเวลา (ของบุคลากรทางแพทย์) โดยใช่เหตุเยอะมาก

และคนเหล่านี้ โดยมากก็จะเป็นคนมีอันจะกิน ในหลายๆ ครั้ง ฉันรู้สึกว่า ภาวะเอาตัวเองพุ่งไปหาหมอและโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นของชนชั้นกลางไทยก็เพียงเพราะสิ่งนี้ยืนยัน “ความปลอดภัยและคุณภาพชีวิต” ที่ซื้อได้ด้วยเงิน

และคนเหล่านี้ก็ต้องการยืนยันความจริงนี้กับตัวเองว่า ในท่ามกลางโรคระบาดนี้ ฉันและครอบครัวของฉันจะรอด เพราะฉันมีเงิน

ในขณะที่เกือบทุกประเทศในโลกที่หนึ่ง ให้ข้อมูลกับประชาชนว่า คนที่ติดโควิดและเป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาทางสุขภาพอื่นใดมาก่อน สามารถรักษาและดูแลตนเองที่บ้านได้ รับประทานยาตามอาการ ทั้งยาพาราฯ ยาแก้ไข ดื่มน้ำ นอนหลับพักผ่อน ออกกำลังกายเบาๆ สังเกตอาการตัวเอง

เหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะจะได้เก็บทรัพยากรทางสาธารณสุขไว้ให้คนที่จำเป็น คนที่ต้องการจริงๆ ทั้งเตียง ทั้งเครื่องช่วยหายใจ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยคือ คนที่ติดโควิดในเมืองไทยที่เป็นคนชั้นกลางและมีประกันสุขภาพ แห่แหนการไปนอนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นทั้งสิ้น ทั้งต้องการเคลมประกัน ทั้งกลัวตาย (อย่างไร้เหตุผล) บางคนยอมจ่ายไป กักตัวในอพาร์ตเมนต์หรูๆ ที่โรงพยาบาลเอกชนจัดขึ้นมาเพื่อ “ทำมาหากิน” กับคนมีสตางค์แต่ไม่มีสติโดยเฉพาะ

และที่น่ากลัวคือ พากันขอกินยา “ฟาวิฯ” กันโครมๆ อย่างไม่กลัวผลกระทบต่อตับ เพราะคิดกันไปเองว่าใครได้ยาคือเจ๋ง!

ถัดจากได้ยาฟาวิฯ ตอนนี้ก็แห่กันไปฉีดวัคซีนเข็มห้า เข็มหก วัคซีนเต็มแขนกันแบบไม่ดูเหนือดูใต้ ไม่แคร์ว่ามันจำเป็นหรือไม่จำเป็น คิดไปเองว่ายิ่งมากยิ่งดี

ทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากมีคนที่จำเป็นต้องได้ยาแต่ไม่ได้ แล้วอาการหนัก ป่วยเจียนตาย หรือตายจำนวนหนึ่ง และภาวะตื่นตระหนกนี้ก็ยิ่งทำให้คนที่แค่ติด และไม่จำเป็นต้องได้ก็เกิดประสาทแดก จะเอายาให้ได้ ก็ใช้เส้น ใช้เงิน ใช้ทุกพละกำลังความสามารถเอายา – ที่ควรเป็นของคนอื่นที่ต้องการจริงๆ – มากินเสียเอง

และจนถึงขณะนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจวาทกรรมของคนที่ตรวจเอทีเคทุกวัน แสดงผลเอทีเคทุกวันในโซเชียลมีเดียแล้วบอกว่า “แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่เอาไปติดคนอื่น”

เดี๋ยวนะ – การที่ใครสักคนจะติดโควิดจากใคร จากอะไร จากที่ไหน มันเป็นเรื่องของการจับมือใครดมไม่ได้ และในขณะที่เชื่อโควิดอ่อนแรงลงกลายเป็นโรคหวัดประจำถิ่น คนจะติดเชื้อนี้กันง่ายและมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความรับผิดชอบของใคร

แน่นอนว่า เรามีความรับผิดชอบต่อสังคมในการที่จะไม่ขากถุยลงบนถนน ไม่ไอ หรือจามโดยไม่ปิดปาก หรือหากเราไม่สบายเป็นหวัด เราจะใส่หน้ากากอนามัย ไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น เราดูแลตนเอง ด้วยการรักษาความสอาด สุขอนามัยพื้นฐาน

ซึ่งฉันคิดว่าแค่นี้ก็หมายถึงความรับผิดชอบแล้ว

แต่เพราะเหตุใดเราจึงเป็น “พลเมืองใต้บงการ” ไปถึงขั้นศิโรราบว่า ชีวิตนี้ฉันต้องไม่ด่างพร้อยด้วยการมีประวัติเอาโควิดไปติดคนอื่น!!!

มิเช่นนั้นมันจะกลายเป็นตราบาปว่า เป็นพลเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบ หรือแม้กระทั่งหากมีพ่อแม่ในบ้านเราติดโควิด ทำไมเราต้องคิดว่าเขาติดจากเรา? หรือติดจากคนในบ้าน? ก็บอกว่า แล้วไวรัสมันมาจากไหนก็ได้ และยิ่งมันกลายพันธุ์อ่อนแรงลงมันยิ่งติดง่าย

ดังนั้น กลับมาที่การทำความเข้าใจว่า ภายใต้ภาวะโรคระบาดเราล้วนมีความเสี่ยงและมันจะไม่ใช่ความผิดของใคร ขอเพียงแต่

– เราเข้าถึงวัคซีน

– เราเข้าถึงยาและการรักษาหากจำเป็น

แทนการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หรือ นั่งแยงจมูกตัวเองทุกวัน ณ วันนี้ สิ่งที่ประเทศไทยต้องการมากที่สุดคือ อย. ต้องเร่งดูเรื่องการนำเข้ายาโมลนูพิราเวียร์ อันเป็นยารักษาโควิดโดยตรง สามารถกินได้ทันที เมื่อพบว่ามีอาการและไม่มีผลร้ายต่อตับ ผลข้างเคียงน้อย และในอนาคตอันใกล้คือ รัฐบาลต้องเตรียมการนำเข้ายาป้องกันโควิด ที่น่าจะออกมาในเร็วๆ นี้

อันนี้แหละคือความรับผิดชอบที่รัฐบาลพึงมีต่อประชาชน ไม่ใช่การสอดใส่วาทกรรมว่าโรคระบาดเกิดจากประชาชนไม่รับผิดชอบในตัวเอง คนอื่น และสังคม

แล้วประชาชนทั้งหลายก็ยังจะไปสมยอมกับวาทกรรมนี้ เอามากดดันตัวเองกดดันประชาชนเพื่อนร่วมชาติด้วยกันเองในนามของ “จิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคม” อีก

สุดท้ายจบลงด้วยเราใส่หน้ากากเข้าหากันเพียงเพราะต้องการยืนยันว่า “ฉันมีความรับผิดชอบ” หรือเข้าเครื่องตรวจอุณหภูมิจอมปลอม

อีกทั้งต้องคอยโพสต์โชว์ผลเอทีเครายวันราวกับเป็นนักเรียนราบงานความประพฤติหน้าเสาธง

แล้วไปจบที่แย่งกันใช้เส้นแย่งยาที่ตัวเองจำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่รู้ แต่กูต้องมีไว้ก่อน