ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 กรกฎาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ
หนุ่มเมืองจันท์
www.facebook.com/boycitychanFC
มนุษย์ 2 ขีด
และแล้วผมก็ไม่รอด…
หลังจากผ่านมาหลายวิกฤติแบบไม่น่ารอด ชนิดที่ใครรู้ใครเห็นก็สงสัยว่ารอดมาได้อย่างไร
ครั้งแรก ไปจันท์ ผมยืนคุยกับ “เก่ง” น้องชายในสวนนานพอสมควร
คุยเสร็จ เขาลืมของ กลับไปเอาของที่บ้าน
นึกยังไงไม่รู้ คงไม่ค่อยสบาย ก็เลยตรวจ ATK
เรียบร้อยครับ
2 ขีด
แต่ผมรอด
ครั้งที่สอง ไปงานที่โคราช นั่งกินโต๊ะจีนกัน
น้องที่เป็นแฟนหนังสือนั่งคุยด้วย
นั่งติดกัน คุยกันอย่างเมามันนานเป็นชั่วโมง
ตอนเช้า เขาตรวจ ATK
2 ขีด
แต่ผมรอด
ครั้งที่สาม มีงานเลี้ยงตอนกลางคืน
ดนตรีเสียงดัง เวลาคุยต้องตะโกนใส่กัน
น้องคนหนึ่ง ดีกรีได้ที่กอดคอผมคุยกึ่งตะโกนใส่กัน
ลมจากปากผ่านจมูกผมอย่างรู้สึกได้
คิดในใจว่าถ้าไอ้คนนี้ติดโควิด ผมไม่มีทางรอด
อีก 2 วัน เขาแจ้งมาว่า 2 ขีดเรียบร้อย
แต่ผมรอด
เล่าให้ใครฟัง ทุกคนบอกว่าผมดวงแข็งมาก
มีบางคนอยากขอรูป
กะเอาไปทำเหรียญห้อยคอ
“หลวงพ่อตุ้ม”
รุ่นป้องกันโควิด
แต่ไม่ว่าใครจะชื่นชมความโชคดีของผมอย่างไร
ผมรู้สึกลึกๆ ว่ายังไงก็คงไม่รอด
เพราะช่วงหลังๆ คนรอบตัวติดกันเยอะมาก
และผมไม่ใช่คนที่ระมัดระวังตัวอะไรมากนัก
การใช้ชีวิตในแต่ละวันก็เหมือนกับการเดินผ่านสนามที่มีกับระเบิดฝังอยู่
ไม่รู้ว่าวันไหนจะตูมขึ้นมา
และแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็เหยียบกับระเบิด “โควิด”
ไปงานเลี้ยงหนึ่งที่ทุกคนตรวจ ATK ก่อนเข้างานมาแล้ว
ถือเป็นมาตรการป้องกันที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
จบงานเลี้ยงแค่วันเดียว ก็เริ่มมีคนที่ไปงานบอกว่าติดโควิด
ผมก็เริ่มเสียวๆ แล้ว
แต่ประสบการณ์การรอดมา 3 ครั้ง ทำให้อดคิดในแง่ดีไม่ได้ว่าก็คงโชคดีรอดเหมือนเดิม
ผมมีโปรแกรมไปจันท์อยู่แล้ว
จองที่พักไว้ 2 คืน
วันที่ 2 หลังจากงานเลี้ยง ผมตื่นมาตอนเช้า รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว
รีบตรวจ ATK
1 ขีด
นั่งรถไปก็ยังไม่ค่อยดีขึ้น
แวะปั๊มกินข้าวช่วงเที่ยง
ตรวจ ATK ซ้ำอีกที
ก็ยัง 1 ขีด
ถึงจันท์ แวะเข้าสวนก่อนเลย
ดูสวน คุยงานกับคนสวนประมาณ 2 ชั่วโมง
เหงื่อท่วมตัว
รู้สึกโล่งสบาย
คิดว่ารอดแล้ว
กลับเข้าที่พัก อาบน้ำเสร็จ กลับรู้สึกตัวอุ่นๆ
ตรวจ ATK อีกที
เรียบร้อยครับ
2 ขีด
ผมแปลงกลายเป็น “มนุษย์ 2 ขีด” ในบัดดล
คืนนั้น อาการไม่มีอะไรมาก แค่จับไข้นิดหน่อย
ยังหลับได้สบาย
วันรุ่งขึ้น เช็กเอาต์กลับ กทม.เลยครับ
ตอนเช็กเอาต์ บอกพนักงานแบบเกรงใจว่าติดโควิด
ขอโทษน้องๆ ว่าคงต้องทำความสะอาดห้องพักหน่อยนะ
เรื่องยาต่างๆ ผมเตรียมพร้อมไว้แล้วตั้งแต่ “ออม” หลานสาวติดโควิดครั้งก่อน
ซื้อยาให้ “ออม” ชุดหนึ่ง
ซื้อให้ตัวเองชุดหนึ่งด้วย
มีน้องที่รู้จัก พอรู้ว่าติดโควิด เธอรีบส่งยาโมลนูพิวาเรียร์มาให้
ยาตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” กินตอนเป็นโควิด
แต่ตัวที่ผมกินเป็นยาที่ผลิตจากเวียดนาม
หลังจากกินได้ 2-3 วัน กระทรวงสาธารณสุขออกคำเตือนให้ระวัง เพราะควรจะให้แพทย์เป็นคนให้ยา
ผมเชื่อว่าหลายคนพอฟังแล้วคงยิ้มๆ
ทุกคนรู้ว่าตัวเขาไม่ได้ “อ้วน” เหมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
โอกาสจะได้รับยาโมลนูพิวาเรียร์คงยาก
กลับมาถึงบ้าน ผมกักตัวอยู่ในห้อง
ภรรยาและลูกส่งข้าวส่งน้ำให้ทุกมื้อ
อาการไข้ของผมก็ไม่ได้สูงอะไร แค่ไม่สบายตัว
ผ่านไป 2 วันก็ไม่ต้องกินพาราฯ แล้ว
เจ็บคอก็นิดหน่อย
อาการไอก็ประมาณ ไอ เลิฟ ยู
ไม่ได้หนักขนาดนอนไม่ได้
ยังกินอาหารได้ปกติ
ต่อมรับรสทำงานได้
เทียบกับเพื่อนๆ แล้วถือว่า “หลวงพ่อตุ้ม” ยังศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้
ผ่านไป 5 วัน ตรวจ ATK
2 ขีดก็เริ่มจางๆ
วันที่ 6 เหลือขีดเดียว
แต่ยังเหลืออาการไอคงค้างอยู่
และต้องเฝ้าระวังว่าจะเจอ “ลองโควิด” หรือเปล่า
…เพี้ยง
ตอนที่รู้ว่าติดโควิด
ผมพยายามมองโลกในแง่ดี
หาแง่งามจากการติดโควิดครั้งนี้
แล้วผมก็นึกถึงคำที่ “อมร” เคยปลอบใจเพื่อนที่ติดโควิดเมื่อเดือนที่แล้ว
เขาบอกว่าติดช่วงนี้ดีกว่าช่วงแรกมาก
เพราะเชื้อรุ่น BA.4 BA.5 อ่อนกว่า “เดลต้า” มาก
ส่วนใหญ่จะหายภายในไม่กี่วัน
ไม่เหมือน “เดลต้า” ที่มีโอกาสเสียชีวิตสูง
“แต่ที่ดีที่สุด ติดโควิดตอนนี้เราไม่ต้องแจ้งไทม์ไลน์ว่าไปไหนมาบ้าง” หนุ่มมรบอก
สำหรับเขา “ไทม์ไลน์” น่ากลัวกว่า “โควิด”
“แค่นี้ก็คุ้มแล้ว อย่าคิดอะไรมาก”
เป็นคำให้กำลังใจของ “อมร” ครับ •