บททดสอบ วิญญูชน บททดสอบ ทารกแห่ง ‘บู๊ลิ้ม’ เบื้องหน้า ความตาย/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

บททดสอบ วิญญูชน

บททดสอบ ทารกแห่ง ‘บู๊ลิ้ม’

เบื้องหน้า ความตาย

 

ท่ามกลางการประลอง “ฝีปาก” ในเชิงยุทธ์ระหว่างเซี่ยวฮวงลิ้วกับโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดินลิ่มเซียนยี้ภายในตึกหอมเย็น

เสียงตะโกนจาก “ภายนอก” ก็ดังขึ้น

“ฝีมือของท่านยอดเยี่ยมจริงดังคำเล่าลือ แต่หวังว่ามีดสั้นของท่านก็มีความยอดเยี่ยมระดับเดียวกันจึงประเสริฐ”

กล่าวถึงถ้อยคำหลังเสียงได้ไปไกลกว่า 20 วาแล้ว

“มันถือดีอย่างไรมาหึงหวง นึกมิถึงบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่ทะนงตัวว่ายอดเยี่ยมเยี่ยงมันก็มากระทำเรื่องไร้ยางอายเยี่ยงนี้ วันหน้าหากข้าพเจ้ายอมแยแสมันอีกก็ประหลาดยิ่ง แม้นับว่าข้าพเจ้าโยนกระบี่ฮื้อตึ่งเกี่ยมไปที่เบื้องหน้ามันก็ไม่กล้าเก็บแน่นอน”

นั่นย่อมหมายถึง “อิ้วเล้งเซ็ง” มิใช่ใคร

“ข้าพเจ้าบอกแต่แรกแล้ว บุคคลเยี่ยงนี้มีสันดานต่ำช้าแต่กำเนิดดุจดังสุนัขตัวหนึ่ง ท่านยิ่งด่ามัน ตีมัน มันยิ่งกระดิกหางตามหลังท่านมิยอมห่าง”

ปัญหาของลี้คิมฮวงอาจเป็นอิ้วเล้งเซ็ง แต่ว่ายังมีมากกว่านั้น

 

ปัญหาของลี้คิมฮวงมิได้อยู่ที่สัมพันธ์อันมากด้วยเงื่อนปมและมากด้วยความสลับซับซ้อนระหว่างเล้งโซ่วฮุ้นกับลิ่มเซียนยี้ ประการเดียว

หากแต่อยู่ที่ประดา “จอมยุทธ์” อันเป็น “เฮียตี๋” และที่มันเชื้อเชิญมา

ไม่ว่าอ่านสำนวนของ ว. ณ เมืองลุง ไม่ว่าอ่านสำนวนของ น.นพรัตน์ โปรดให้ความสังเกตกับสิ่งที่ปรากฏผ่านรูปศัพท์แห่ง “วิญญูชน”

แม้จากความจัดเจนของลี้คิมฮวง

จะคั้นกลั่นด้วยประสบการณ์ “ตรง” ออกมาว่า “ในชีวิตข้าพเจ้า เพียงประพฤติเป็นวิญญูชนครั้งหนึ่งครั้งนั้นข้าพเจ้าต้องเสียใจไปสามวัน”

แล้วการทดสอบครั้งใหม่ต่อลี้คิมฮวงก็บังเกิดเมื่อมันออกจากดงเหมย

ที่หลังภูเขาจำลองยามนี้บนพื้นหิมะปรากฏผู้คน 2 คนต่อสู้กัน คนทั้งสองล้วนมีพลังหมัดแข็งกร้าวดุดัน สั่นสะเทือนจนหิมะที่สุมอยู่รอบข้างปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า

เป็นขวัญเหล็กสะท้านฟ้าแปดทิศ ฉิ้งเฮ่างี้ กับ ชายฉกรรจ์เคราครื้ม

นี่มิเพียงเป็นเงาสะท้อนของพลังแค้นเนื่องจากสถานการณ์แย่งชิงหมอ ณ งู้เกจึง หากแต่กลับกลายเป็นสถานการณ์ไหน้ำผึ้งแตกอย่างมิได้คาดหมาย

ในที่สุด ก็บานปลายกลายเป็นสถานการณ์ทดสอบวีรบุรุษ และ วิญญูชน

 

จุดที่ไม่ควรมองข้ามกลับเป็นการสำแดงฝีมือของ “ชายฉกรรจ์เคราครื้ม” เมื่อหมัดต่อยหมัดดังครืนครั่น ทุกหมัดล้วนเป็นท่วงท่าที่ไม่คำนึงถึงตัวเอง

กระบวนท่าแม้ไม่สูงล้ำ แต่พลังการฆ่าฟันเป็นที่น่าตระหนกนัก

“ทุกกระบวนท่าที่มันใช้ออกคล้ายตระเตรียมให้ผู้อื่นต่อยใส่หมัดหนึ่งก่อน เพลงหมัดเช่นนี้ทำให้ผู้คนชมดูไม่เข้าใจจริงๆ” เป็นข้อสังเกตจากอิ้วเล้งเซ็ง

เช่นนี้ย่อมดึงดูดให้เตี่ยเจี่ยหงีเตรียมจะเข้าร่วมด้วย

ขณะเตี่ยเจี่ยหงีจะโถมใส่พลันได้ยินลี้ชิ้มฮัวกล่าวเสียงเย็นชา “หากมีคนคิดใช้สองกลุ้มรุมหนึ่งใช้พวกมากข่มเหงคนน้อยมีดบินของข้าพเจ้าได้แต่ลงมือแล้ว”

เตี่ยเจี่ยหงีพลันชะงักร่าง ไม่กล้าต่อยหมัดออก

“บ่าวไพร่ที่ท่านนำมาก้าวร้าวล่วงเกินเบื้องสูงท่านมิเพียงไม่ควบคุมมัน ตรงกันข้าม ยังช่วยกระพือความเหิมเกริมของมัน ท่านเข้าใจว่าในยุทธจักรปราศจากความยุติธรรมแล้วหรือ”

คำถามจากลี้ชิ้มฮัวคือ

“อันใดเรียกว่าความยุติธรรม หรือการใช้สองกลุ้มรุมหนึ่ง ค่อยนับเป็นความยุติธรรม”

ประเด็นว่าด้วย “ความยุติธรรม” ต่างหากที่มากด้วยความแหลมคม กลายเป็นหินลองทองคมแหลมในการทดสอบ

ทดสอบ “วีรบุรุษ” ทดสอบ “วิญญูชน”

 

ความแหลมคมของปัญหาอยู่ที่การเข้าร่วมของ “เตี่ยเจี่ยหงี” เพราะว่าฉายาที่เรียกขานในยุทธจักรของมันคือ “เฉียบขาดไม่ลำเอียง” (ทิมิ่นบ้อไซ)

เพราะว่ามันรู้แล้วว่า “ชายฉกรรจ์เคราครื้ม” เป็นใคร

สถานการณ์จึงไม่เพียงแต่จะจำกัดวงอยู่ภายในอุทยานเมฆเรืองโรจน์เท่านั้น หากแต่ยังมีการแพร่กระจายข่าวออกไปภายนอก

และตกอยู่ในเงื้อมมือของ “แปดธัมมะแดนตงง้วน” (ตงง้วนโป๊ยหงี)

“พวกเรามิเพียงถามไถ่ให้กระจ่างชัดยังจะเสาะหาคนนอกมาผดุงความยุติธรรม หากทุกคนล้วนบอกว่าผู้แซ่ทิสมควรฆ่า เมื่อถึงเวลานั้นค่อยฆ่ามันก็ไม่สาย”

นี่คือกระบวนการในการชำระแค้นจากเมื่อ 17 ปีก่อนในวงนักเลง

บุคคลแรกคือ หน้าเหล็กไม่ลำเอียง เตี่ยเจี่ยหงี บุคคลต่อมา เป็นหมอดูตาบอด และอีกบุคคลหนึ่ง เป็นผู้เฒ่าเล่านิทาน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวยุทธจักร

เป็นบุรุษที่เพิ่งเข้าสู่บู๊ลิ้ม

“คนผู้นี้แม้เพิ่งเข้าสู่บู๊ลิ้ม แต่มีนิสัยแกร่งกร้าว ไม่หยิบฉวยเงินทองที่ไม่ชอบธรรมแม้แต่น้อย นับเป็นลูกผู้ชายอันเข้มแข็ง เราแม้เพิ่งรู้จักมันสองวันแต่เชื่อมั่นว่ามันมิใช่คนต่ำช้าอันปลิ้นปล้อน”

ชายฉกรรจ์เคราครื้ม ทิท้วงกะ ตั้งใจแน่วแน่จะไม่ยอมลืมตาขึ้น

ได้ยินเสียงฝีเท้าดัง ปรากฏมี 2 คนเดินเข้ามา

คนแรกฝีเท้าหนักหน่วงเข้มแข็งแสดงว่าฝึกกำลังเท้าได้ยอดเยี่ยมยิ่ง คำพังเพยในบู๊ลิ้มมี “หมัดใต้เท้าเหนือ” เตี่ยเจี่ยอั้วเป็นยอดฝีมือทางเท้าของภาคเหนือ

ความสามารถทั้งมวลของมันอยู่ที่เท้าทั้งสองเสียเป็นส่วนมาก

คนที่สองมีฝีเท้าหนักอย่างยิ่ง แต่ไร้กำลัง ตอนเดินเข้ามายังหอบหายใจเบาๆ คนผู้นี้แม้นับว่ามีวิชาบู๊ก็ต้องไม่ยอดเยี่ยมถึงที่ใดแน่

ทิท้วงกะมิได้ยินเสียงฝีเท้าคนที่ 3 เลย

หรือผู้มามีเพียง 2 คนเท่านั้น หรือคนที่ 3 เดินทางโดยไม่มีเสียงฝีเท้าแม้แต่จะแผ่วเบาจริงๆ กระนั้นหรือ

ได้ยินเตี่ยเจี่ยอั้วกล่าว

“พวกเรามีใจแน่วแน่เพื่อคุณธรรมดีงามของวงพวกนักเลง แม้มีมีดเสียบชายโครงก็ยังไม่ย่อท้อปฏิเสธ”

คนผู้นี้พอเอ่ยปากก็เป็นวาจาโอ่อ่า ภาคภูมิ

คนที่ 3 ซึ่งไม่ปรากฏฝีเท้า ไม่ปรากฏเสียงพูด ดำรงอยู่ในความเงียบตั้งแต่กระบวนการพิพากษาเริ่มขึ้นและลงเอยที่คำว่า

“สมควรฆ่า”

พลันมีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “ท่านย้ำแต่คำว่า ‘วงพวกนักเลง’ ทุกประโยค หรือท่านคนเดียวก็จะเป็นผู้แทนวงพวกนักเลงได้”

เสียงนี้สั้นและมีพลัง แต่ละถ้อยคำคล้ายกระบี่ ทั้งเย็นเฉียบทั้งรวดเร็ว

 

ถามว่าปมเงื่อนของการชำระแค้นที่สะสมและหมักหมมมาอย่างยาวนานร่วม 17 ปีแฝงเร้นอยู่ตรงจุดใด

1 คือจุดที่เตี่ยเจี่ยหงีเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้แจ้ง “เบาะแส”

ขณะเดียวกัน 1 คือ การเข้ามาของ บุรุษที่ 3 ซึ่งเงียบเชียบเป็นอย่างยิ่ง งำประกายอย่างยิ่งที่ค่อยๆ สำแดงตัวตนออกมา

เป็นการสำแดงตัวโดยพุ่งเป้าไปยัง “เตี่ยเจี่ยหงี”

 

เริ่มจากคำตอบอันเท่ากับเป็นคำถามไปด้วยในตัว “หากข้าพเจ้าเห็นว่ามันไม่สมควรถูกฆ่า พวกท่านก็จะพลอยฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยเลย ใช่หรือไม่”

เห็นเช่นนั้นบทบาทของเตี่ยเจี่ยหงีก็เด่นชัด

“ข้าพเจ้าเห็นว่ามันเป็นเพียงคนก่อกวนอย่างไร้เหตุผลเท่านั้น ท่านทั้งหลาย ไยต้องฟังความคิดเห็นของมันด้วย”

ได้ยินเช่นนั้นโจทย์ที่เสนอเข้ามาก็คือ

“ท่านว่าผู้อื่นขายสหายหวังลาภยศแต่ท่านไหนเลยมิใช่เคยขายมิตรสหายหลายคนแล้ว วันนั้นที่ไปฆ่าคนในตึกเอ็งแกจึงท่านไยมิใช่เป็น 1 ในจำนวนนั้นเพียงแต่เอ็งตั้วเนี้ยไม่พบเห็นท่านเท่านั้นดอก”

เพราะว่าเป็น “โจทย์” อันตั้งขึ้นโดย “อาฮุย”