“เลือดไหลไม่หยุด” กระแสตก/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

“เลือดไหลไม่หยุด” กระแสตก

 

ข้ามห้วยกลับไปดูเมื่อสัปดาห์ก่อนโน้น แนะนำให้จับตาดูชม “พรรคภูมิใจไทย” ที่มี “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเอาไว้ให้มากๆ มีโอกาสที่จะคว้าพุงปลามันเข้าป้ายในลำดับที่ 2 รองจาก “พรรคพื่อไทย”

เนื่องเพราะ “ภูมิใจไทย” จากศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ได้รับเลือกตั้งมา 2 ระบบ จำนวน 51 ที่นั่ง แยกเป็นเขตเลือกตั้ง 39 คน บัญชีรายชื่อ 12 คน

แต่เผลอแป๊บเดียว “2 น.” โชว์อนุภาพการดูดได้ขมังเวทย์ มี ส.ส.งอกเพิ่มขึ้นมาอีก 11 ที่นั่งที่เปิดเผยตัวตน และมี “กองทัพงูเห่า” หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในรูอีกจำนวนหนึ่ง ศิโรราบแล้ว มีฐานกำลังค้ำยันมากถึง 77 เสียง เบาเสียเมื่อไหร่

เลือกตั้งครั้งหน้าปี 2566 หาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่เดินสะดุดปังตอหกล้มเสียก่อน ภูมิใจไทยมีศักยภาพโดดเด่นทั้ง “ตัวบุคคล-ท่อน้ำเลี้ยง” ส่อเค้าเล่าอาการว่าจะเบียดแทรกเข้าป้ายได้ ส.ส.เฉียดหลัก 100 ที่นั่ง

สนาม “ปักษ์ใต้บ้านเรา” ถิ่นเก่าของ “ประชาธิปัตย์” ครั้งที่แล้ว “ภูมิใจไทย” แซะเก้าอี้มาได้ 8 ที่นั่ง แต่หลายจังหวัดได้ของดีมีชาติตระกูลมาเสริมใยเหล็ก มีสิทธิติดเทอร์โบ เป็นเลข 2 หลัก

ขณะที่ “ภูมิใจไทย” บริหารความสมดุลได้ยอดเยี่ยม ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ

ทีนี้ตามไปดูค่าย “ประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองเก๋ากึ๊ก ลายครามมากที่สุดบนเวทีประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย

ก่อตั้งพรรคตั้งแต่ปี พ.ศ.2489 ต่อสู้กับระบอบเผด็จมายาวนาน เคียงบ่าเคียงไหล่มากับประชาชน มีความดีเสมอหน้า สร้างผลงานเชิงประจักษ์ไว้เยอะแยะมากมาย เป็นตำนานทางการเมือง

เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาแล้ว 7 ครั้ง เมื่อปี พ.ศ.2491 พ.ศ.2518 พ.ศ.2519 พ.ศ.2536 พ.ศ.2540 และ พ.ศ.2551 เคยเป็นพรรคการเมืองที่จดแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ว่ามีสมาชิกมากที่สุดจำนวน 2.8 ล้านคน มีสาขาพรรคมากถึง 175 สาขาทั่วประเทศ บรรยายสรรพคุณกันไม่หวาดไม่ไหว

“แต่นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ประชาธิปัตย์มิต่างจากมีดสนิมจับ เกิดอาการทื่อๆ ปาดคอหอยใครไม่ตาย สะกดคำว่าชนะไม่เป็น แพ้ป่าราบต่อพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน และแม้จะเปลี่ยนนอมินีมาใช้ชื่อเพื่อไทย ก็แพ้ติดต่อกัน 2 ครั้งซ้อน”

กระนั้นก็ตาม แม้จะแพ้แต่ไม่มาก ส่วนใหญ่เข้าป้ายมาเป็นลำดับที่ 2 เพิ่งจะเมื่อศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 พรรคประชาธิปัตย์เข้าป้ายมาในอันดับที่ 4 เป็นรองเพื่อไทย-พลังประชารัฐ-ก้าวไกล ได้ ส.ส.มาแค่ 51 ที่นั่ง ทั้งระบบเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ

ที่ถือว่าพลิกล็อกวินาศสันตะโรมากที่สุด คือ สนามเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์เคยครองแชมป์มาตลอด กลับไม่ได้ที่นั่ง ส.ส.เลยแม้เก้าอี้เดียว

เช่นเดียวกับที่สนามเลือกตั้งภาคใต้ ผูกปีกวาดเรียบมาตลอดกาล เกิดเสาไฟฟ้าล้ม ได้ที่นั่ง ส.ส.มาเพียง 22 คนจาก 50 เขต อีก 28 ที่นั่งถูก “พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย” ชิงพื้นที่ไป ด้วยสัดส่วน 20 กับ 8 ที่นั่ง ตามลำดับ

 

หลังเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 ประชาธิปัตย์เกิดปรากฏการณ์ “เลือดไหลไม่หยุด” แกนนำคนสำคัญประกาศตบเท้าเดินลาออกกันเป็นว่าเล่นคนแล้วคนเล่า เป็นต้นว่า “กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ-พีระพันธุ์ สารัฐวิภาค-กรณ์ จาติกวณิช-วรงค์ เดชกิจวิกรม-อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี-วิฑูรย์ นามบุตร-นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์-วิทยา แก้วภราดัย” ซึ่งบุคคลเหล่านี้ เคยเป็นระดับแกนนำคนสำคัญในพื้นที่เลือกตั้งของแต่ละจังหวัด สายเลือดสีฟ้าเข้มข้นทุกคนเลยก็ว่าได้

ขณะที่สนามเมืองหลวง กทม. ประชาธิปัตย์กระแสตก กินไข่ ตามด้วย “ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” ผู้สมัครของพรรค ก็แพ้ศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่างยับเยิน ต่อ “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” เช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม

เท่ากับว่า ช่วงเวลาทองคำสำหรับพรรคประชาธิปัตย์หายไป เหลือแต่เก็บไว้เป็นความทรงจำไปเล่าต่อยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ทุกตำนานย่อมมีจุดจบ และหากวิเคราะห์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ถือว่า ระยะหลัง ประชาธิปัตย์ผิดทั้งเนื้อหา-ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี

ไปหลงใหลได้ปลื้ม กระหยิ่มยิ้มย่องกับไม่เป็นเรื่อง เป็นต้นว่า เกมชิงดำตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ประชาธิปัตย์เคยชนะแบบผูกขาดเกือบตลอดมา ตั้งแต่ “ธรรมนูญ เทียนเงิน-พิจิตต รัตตกุล-อภิรักษ์ โกษะโยธิน” 2 สมัย แตะมือต่อมายัง “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” อีก 2 สมัย และเคยทำสถิติไว้ 1 ล้านกว่าเสียง

ฐานคะแนนพรรคในเมืองหลวง ติดเพดานอยู่ที่ล้านเสียงโดยประมาณ แต่กลับไปปีติยินดีที่ “ดร.เอ้” ผู้สมัครของพรรคเข้าป้ายในลำดับที่ 2 ด้วยฐานเสียง 254,647 คะแนน ชนะ “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” พรรคก้าวไกล และ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” เท่านั้น

แทนที่จะตกใจเสียสติที่ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ชนะถล่มทลาย ได้ไป 1,386,215 คะแนน

สนามเลือกตั้ง 14 จังหวัดปักษ์ใต้ ก็กินยาผิดซอง จากฐาน ส.ส. 52 ที่นั่ง “ประชาธิปัตย์” เคยยึดหัวหาดได้แน่นอน 48 ที่นั่ง แต่กลับมาไชโยโห่หิ้ว ที่พรรคสามารถประสบชัยชนะจากเลือกตั้งซ่อมจังหวัดสงขลา และจังหวัดชุมพร ทั้งๆ ที่สมัยก่อน ไม่จำเป็นต้องใช้บริการเลือกตั้งซ่อมให้เมื่อยตุ้ม เพราะเป็นของตายของประชาธิปัตย์เป็นทุนอยู่แล้ว

เมื่อก่อนออกทะเล จับได้ปลากะพง แต่ปัจจุบัน เก็บได้กุ้งฝอยกลับดีอกชกลม มันแปลกดี

ขณะที่สัญลักษณ์ทางการเมือง สมัยก่อน ประชาธิปัตย์ได้ชื่อว่า พรรคเทพ ยืนอยู่ฝ่ายธรรมะ

เท่ไปเท่มา เวลานี้ “บุญมากาไก่กลายเป็นหงส์ บุญลงหงส์กลายเป็นกาไก่” ชาวบ้าน สื่อกระแสรอง กระแสหลัก เขาแยกฝั่ง จำแนกฝ่าย ยก “เพื่อไทย-ก้าวไกล-เสรีรวมไทย” อยู่ซีกประชาธิปไตย

จับประชาธิปัตย์ไปมัดเข่งเป็นอีกขั้ว ตรงกันข้ามกับประชาธิปไตย

แถมไม่ได้ไปเป็นแกนนำ แค่นั่งร้าน-ลูกหาบให้ “พลังประชารัฐ” ขี่คอ ก็ยอมศิโรราบ ดุจเด็กเอ๋ยเด็กน้อย

เวลาที่เหลือของสภาผู้แทนราษฎรอีก 9 เดือน มิทราบว่า “ประชาธิปัตย์” จะมีจุดเปลี่ยนอะไรในตัวเองหรือไม่

ถ้าไม่ก็ต้องตัวใครตัวมันกันละพี่น้อง