กาละแมร์ พัชรศรี : คิดถึงคนอื่น…

ในวันที่เราเกิดมา เราอาจจะคิดว่าเราเกิดมาคนเดียว

บางคนอาจจะเกิดมาพร้อมกับอีกคน (ที่เป็นแฝดพี่แฝดน้อง)

แต่จริงๆ แล้ว กว่าเราจะเกิดมาได้ เราอาศัยคนมากมาย ที่แน่ๆ คือพ่อกับแม่เรา แต่เอาจริงๆ ระหว่างทางกว่าจะเกิด เราน่าจะได้รับการอำนวยความสะดวกจะใครต่อใครรอบๆ ตัวแม่เรามากมาย จึงทำให้เราเกิดออกมาได้อย่างปลอดภัยในที่สุด

ดังนั้น จึงไม่ใช่ “เรา” ที่เป็นคนตัวคนเดียวบนโลกนี้

เมื่อเราเกิดมา เราก็ต้องเอาตัวให้รอด เราต้องกิน ต้องใช้ ต้องเรียน ต้องทำงาน ต้องดำรงชีพ ต้องมีเงิน ต้องมีครอบครัว ต้องแก้ไขปัญหาชีวิต ต้องนั่นต้องนี่เต็มไปหมด แต่ทุกๆ ต้อง เรามักทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น

“ใครจะคิดถึงคนอื่น ในเมื่อท้องตัวเองยังไม่อิ่ม” มีใครบางคนเคยพูดไว้ แต่ “อิ่ม” แต่ละคนก็ไม่เท่ากันถ้าไม่รู้จักคำว่า “พอ”?

และที่สำคัญ การคิดถึงคนอื่นมันต้องมีความรัก ความเมตตา ความกรุณา และที่สำคัญคือ “มีจิตสำนึก”

ใน 2-3 วันที่ผ่านมา ฉันได้ไปฟังธรรมจากพระอาจารย์ตั๋น แห่งวัดบุญญาวาส ไปดูหนังท่านติช นัท ฮันห์ (walk with me) และไปดูหนังสารคดีเรื่องโลกร้อนที่ เชอรี่ เข็มอัปสร ชวนไปดูเรื่อง An Inconvenient Sequel; Truth to Power

สิ่งที่ได้ฟังได้ดูได้รับรู้มา ทำให้คิดได้ว่า ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย เราสามารถเลือกได้ว่า เราจะไปอยู่ใกล้ที่ใดและจะรับเอาสิ่งใดเข้าสู่ชีวิต

พระสายป่าอย่างพระอาจารย์ตั๋นบอกเราพร้อมให้กำลังใจเหล่าลูกศิษย์ลูกหาเสมอในยามที่ท่านเทศน์ ท่านบอกคนเราอย่าประมาทไป วันก่อนคนงานเพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ นอนหลับไปไม่ฟื้นขึ้นมาเลย ดังนั้น จะทำอะไรดีๆ ให้รีบทำ

เวลาเกิดอารมณ์โลภ โกรธ หลง เราต้องมี “สติ” รู้ให้เท่าทันมัน เพราะถ้าไม่ทันเราก็หลงไปกับมัน เท่ากับการเติมเชื้อเพลิงให้มันโหมลุกขึ้นไปกันใหญ่ ดังนั้น การฝึกสมาธิจะทำให้เรามีสติ ถ้าเราไม่รู้จักฝึกสมาธิก็ยากจะพ้นทุกข์ ไม่อย่างนั้นคนที่เรียนหนังสือสูงๆ ก็คงพ้นทุกข์ไปหมดแล้ว

ในวันที่เราเป็นฆราวาสต้องทำงานทำการหาเงิน ถ้าเราเกิดความโลภอยากได้อยากมีมากขึ้น มีได้แต่อย่าให้ผิดศีล ทำงานไปด้วยความอดทน ขยัน ทำตามกำลัง อดทนต่ออารมณ์ชั่วร้ายและรู้สึกพอใจในทรัพย์ที่เรามี แสวงหาทรัพย์น่ะหาได้แต่ต้องรู้จักความพอใจด้วย

วันที่เกิดความทุกข์ ความโกรธ ให้ใช้ปัญญาหาสาเหตุแล้วละมันไป ถ้าคิดไม่ได้ให้ละด้วยสมาธิ รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ให้เห็นว่าคนคนนั้นเขาก็เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เขาแตกสลายได้ ไม่ต้องไปยึดติดว่าเขาเป็นคนนี้ชื่อนี้ตำแหน่งนี้ เขาแค่ดิน น้ำ ลม ไฟที่อย่าไปยึดติด

ท่านบอกว่าบวชมา 40 ปีไม่มีวันไหนที่เบื่อเลย เพราะเล่นกับจิตอยู่ตลอดเวลา มีความทุกข์จะให้มันอัดเราหรือเราจะเอามันให้อยู่ รู้ให้เท่าทันมัน อยู่กับปัจจุบัน กำหนดลมหายใจ “พุท-โธ” พอมีสติมันจะควบคุมจิตใจได้ คนเรามักทนไม่ได้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน มักหาอะไรทำ หาที่ไปเรื่อยๆ ลองทำจะรู้ว่าไม่มีคำว่าเหงา เศร้าเพราะใจไม่คิดถึงอดีต ไม่ห่วงอนาคต อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น

คนเรานั้นไม่เคยสัมผัสถึงความสุขสงบจากสมาธิ เลยไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันอาจจะทำยาก เกิดความฟุ้งซ่าน ทำให้เราละความเพียรไป แต่ถ้าเราหมั่นฝึกฝน ค่อยๆ รู้ทันจิตเราตลอดทั้งวันว่าทำอะไร คิดอะไรอยู่ ก็ช่วยให้เวลานั่งสมาธิเข้าสู่ความสงบได้เร็ว

 

วันต่อมาได้ไปดูหนังเรื่องราวในหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศสที่ท่านติช นัท ฮันห์ นักบวชชาวเวียดนาม นิกายเซน ผู้นำทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของโลกไปพำนัก

หนังทำให้เราเห็นจริยวัตรของท่านรวมถึงนักบวชท่านอื่นๆ รวมถึงผู้ที่จะมาเข้าอบรมว่าชีวิตต้องเจอกับอะไรบ้าง

ในหนังพยายามดึงให้เราอยู่กับปัจจุบันเหมือนที่หมู่บ้านพลัมคอยบอกกับทุกคน โดยทุก 15 นาทีจะมีเสียงระฆังดังขึ้นมา ทุกคนต้องหยุดกิจกรรมที่ทำทั้งหมด แล้วให้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง ให้กลับมาสู่บ้านอันแท้จริง พอเราดูอยู่แล้วได้ยินเสียงระฆังก็ทำให้เราทำตามไปด้วย

และตลอดทั้งเรื่องก็มีฉากที่เตือนให้เรากลับมาที่ลมหายใจตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

ใบหน้าและน้ำเสียงแห่งความเมตตาของเหล่านักบวชที่ถ่ายทอดความรู้และวิธีการแห่งความสุขและให้กลับมาอยู่กับลมหายใจแห่งปัจจุบัน ฟังเมื่อไหร่ก็เบิกบานใจและรู้สึกสงบทุกครั้ง

ที่มาที่ไปของนักบวชต่างชนชาติน่าสนใจอย่างยิ่ง บางคนเขียนแผนการชีวิตไว้อย่างเป็นระบบ ต้องทำงานอย่างไร ประสบความเสร็จเมื่อไหร่ แต่งงานตอนไหน แต่สุดท้ายเขาเลือกที่จะเดินทางนี้ หรือมีหลวงพ่อคนหนึ่ง ชาวบ้านนึกว่าเขาตายไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง มาเจออีกปรากฏว่ามาบวชอยู่ที่นี่ หลวงพ่อบอกพอได้อ่านหนังสือของท่านติช เลยเดินทางมาที่นี่จนมีวันนี้

เพียงแค่อยู่กับลมหายใจไร้เสียงใดๆ อาจทำให้คุณพบกับความสุขแบบไม่รู้ตัว

ส่วนหนังที่เชอรี่ชวนไปดู ทำให้เรารู้ว่าอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอย่าง อัล กอร์ เขาทุ่มเทเรื่องภาวะโลกร้อนขนาดไหน

และหนังทำให้เรารับรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย ที่ทุกวันนี้หน้าร้อนมันร้อนขึ้น ร้อนนานขึ้น เกิดพายุขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งก็หนักขึ้นเรื่อยๆ

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย มันเกิดจากมนุษย์ที่ใช้พลังงานจากถ่านหิน จากไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

เขาพยายามรณรงค์ให้แต่ละประเทศหันมาใช้พลังธรรมชาติอย่างแสงอาทิตย์ สายลม เพื่อจะได้ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศของโลก

ดูแล้วทั้งกลัว หวาดเสียว สะเทือนใจ เอาใจช่วย สงสาร ปีติในใจ มากมายสารพัดความรู้สึก และนับถือในความทุ่มเทชีวิตของเขาเพื่อโลก

ได้ดูได้ฟังหลายอย่างในหลายวัน ทำให้ย้อนกลับมามองดูตัวเอง สิ่งที่เราต้องลุกขึ้นมาทำคือ ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี ใช้ศักยภาพของตัวเองทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น นึกถึงส่วนรวมมากขึ้น มีเรื่องที่เราต้องฝึกฝนและขัดเกลาตัวเองอีกมากมาย

ไม่มีเวลามาเวิ่นเว้อ ดราม่าและไร้สาระไปวันๆ อีกแล้ว…