เศรษฐกิจ/ลุ้นดัชนีหุ้นไทยไต่ระดับ 1,700 จุด สะท้อนความแข็งแกร่งเศรษฐกิจ หรือแค่ที่พักเงินชั่วคราว

เศรษฐกิจ

ลุ้นดัชนีหุ้นไทยไต่ระดับ 1,700 จุด

สะท้อนความแข็งแกร่งเศรษฐกิจ

หรือแค่ที่พักเงินชั่วคราว

เมื่อย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะพบว่า วันแรกที่เปิดทำการปีนี้ในวันที่ 4 มกราคม ดัชนีปิดตลาดที่ 1,563.58 จุด

และล่าสุด ณ วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ดัชนีปิดตลาดที่ 1,688.64 จุด หรือเพิ่มขึ้น 125.06 จุด

โดยมีมูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ช่วงต้นปีรวม แบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 63,572.23 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 10,759.08 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 12,520.87 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 86,852.18 ล้านบาท

หากสแกนดูจะพบว่าในช่วงปลายเดือนสิงหาคมต่อเนื่องถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นร้อนแรงขึ้น มีการปรับตัวขึ้นแรง จนทำนิวไฮชนะตัวเลขดัชนี ในรอบ 23 ปี สำหรับหุ้นที่ขึ้นทะลุ 1,650 จุด ตามเป้าดัชนีที่หลายโบรกเกอร์ตั้งไว้นั้น มีข้อสังเกตว่าลักษณะการขึ้นของหุ้น ต่างกับช่วงที่เคยปิดตลาดสูงสุดในอดีตหรือไม่ อย่างไร

เมื่อลองมาไล่เรียงข้อมูลการซื้อขายจะพบว่า ดัชนีหุ้นปิดตลาดสูงสุด 5 อันดับแรก ในปี 2537 2560 และ 2536 ตามลำดับ โดย

1. ดัชนีปิดสูงสุด ณ วันที่ 4 มกราคม 2537 ที่ระดับ 1,753.73 จุด

2. วันที่ 5 มกราคม 2537 ที่ระดับ 1,709.64 จุด

3. วันที่ 2 ตุลาคม 2560 ที่ระดับ 1,688.64 จุด

4. วันที่ 30 ธันวาคม 2536 ที่ระดับ 1,682.85 จุด

และ 5. วันที่ 29 กันยายน 2560 ที่ระดับ 1,673.16 จุด

ขณะที่ข้อมูลดัชนีหุ้นปิดตลาดต่ำสุด (ไม่นับรวมปี 2519) จะอยู่ในปี 2541 โดยดัชนีต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 207.31 จุด และหากดูในส่วนมาร์เก็ตแค็ป จะพบว่าปี 2537 มีมาร์เก็ตแค็ปอยู่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท หลังจากนั้นปี 2540 มาร์เก็ตแค็ปอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ปี 2541 มาร์เก็ตแค็ปอยู่ที่ประมาณ 7-8 แสนล้านบาท ต่อมาช่วงปี 2553-2554 มาร์เก็ตแค็ปอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านล้านบาท

และปีนี้มาร์เก็ตแค็ปอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านล้านบาท

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นมีโอกาสทดสอบที่ระดับ 1,700 จุด และอาจจะถึงที่ระดับ 1,760-1,789 จุดได้ จากปัจจัยสนับสนุนทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และฟันด์โฟลว์ที่คาดว่าจะเข้ามามากขึ้น จากความเชื่อมั่นเรื่องตลาดหุ้นไทยเป็นเซฟเฮฟเว่น ทั้งในแง่สถานะการเงินที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชีย และสถานการณ์การเมืองที่นิ่งและนักลงทุนต่างชาติให้ความมั่นใจมากขึ้น

“ดัชนีหุ้นอยู่ในระดับ 1,700 จุดเหมือนกันก็จริง แต่โครงสร้างต่างกันมาก สมัยก่อนโน้นตลาดหุ้นขึ้นจากราคาหุ้น แต่ปริมาณหุ้นกระจุกตัวเฉพาะหุ้นธนาคาร ไฟแนนช์และเงินทุนหลักทรัพย์กว่า 50% ขณะเดียวกัน สถาบันธนาคารยังมีปัญหาเรื่องการปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่างกับปัจจุบันที่ลักษณะโครงสร้างตลาดหุ้นมีการกระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ การบริโภค ธนาคาร มีจำนวนบริษัทจดทะเบียนและขนาดหุ้นที่ใหญ่ขึ้น และเมื่อดูในส่วนมาร์เก็ตแค็ปจะพบว่าแตกต่างกันชัดเจน หรือเป็น “คนละเรื่อง” กัน โดยมาร์เก็ตแค็ปของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันประมาณ 16.3 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับ 23 ปีที่แล้วมีมาร์เก็ตแค็ปที่ประมาณ 3.3 ล้านบาท”

นายประกิตกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในขณะนี้ยังตอบได้ไม่ชัดเจนว่าฟันด์โฟลว์ที่ทยอยเข้ามาจะเป็นลักษณะเงินร้อนหรือพักเงินหรือไม่

แต่มองว่าตลาดหุ้นมีปัจจัยหนุนที่สำคัญหลายประการ ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นเซฟเฮฟเว่น ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเอเชีย

สำหรับฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท น้อยกว่าตัวเลขปีที่แล้วที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนในแอลทีเอฟประมาณ 65,000 ล้านบาท จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนโยกฐานการลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

นอกจากนี้แล้วปัจจัยบวกของเศรษฐกิจ ทั้งตัวเลขจีดีพีครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 3.5% ตัวเลขการส่งออกที่ดีขึ้น น่าจะมีผลให้ดัชนีตลาดหุ้นจะขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,700 จุดก่อนสิ้นปี 2560

ด้าน นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร สายงานธุรกิจค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงสร้างตลาดหุ้นว่า

“แน่นอนว่าในขณะนี้ความมั่นคงของสถาบันการเงินมีมากกว่าในอดีตโดยเฉพาะธนาคารใหญ่ๆ มีความมั่นคงสูงมาก ขณะที่ในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ก็ดี ทางตลาดหุ้นเองก็มีความรัดกุมมากขึ้น และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คอยดูแล ทั้งนี้ จะเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งในอดีตที่ผ่านมาเกิดจากระบบธนาคาร หากระบบธนาคารอ่อนแอ ประเทศก็อ่อนแอไปด้วย นี่คือโครงสร้างการบริหารงานที่แตกต่าง ขณะเดียวกันเชื่อว่าการบริหารงานของผู้บริหารในปัจจุบันได้รับบทเรียนมาจากปีที่ดัชนีเคยขึ้นไปพีก หรือจากช่วงที่วิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้มั่นใจว่าการบริหารงานดีกว่าตอนนั้นแน่นอน และคิดว่าตลาดหุ้นน่าจะยืนได้ ปัจจัยเสี่ยงในประเทศยังมองไม่เห็นว่าจะมีอะไร”

“อย่างไรก็ตาม บล.ฟินันเซียก็ยังตั้งกรอบดัชนีเป้าหมายในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,650-1,700 จุด ส่วนปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 1,900 จุด คาดกำไรต่อหุ้น (อีพีเอส) โต 9.5% เงินปันผลตอบแทน 3% และมีพีอี 17 เท่า โดยปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นในปี 2561 มองว่าฟันด์โฟลว์จะเข้ามาต่อเนื่อง เนื่องจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเงินไหลออกเป็นหลักแสนล้านบาท จึงมองว่าเงินที่เข้ามาในขากลับนี้จะมาก รวมถึงปัจจัยบวกจากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจแม้ว่าจะไม่มากแต่มีอัตราการเร่งที่ดี และแม้ว่าแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐจะขึ้น แต่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ในหลายๆ ประเทศก็เช่นเดียวกันดอกเบี้ยต่ำและเศรษฐกิจก็กำลังฟื้น ล้วนมีผลต่อกำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียน”

“หุ้นเป็นลีดดิ้งอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นก่อนเศรษฐกิจ ระบบสถาบันการเงินและระบบโครงสร้างตลาดหุ้นแข็งแกร่ง ต่างกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ที่กู้ดอกเบี้ยแล้วใช้ผิดประเภท ทำให้ประสบปัญหา ส่วนความเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้มองว่า ดัชนีจะผันผวนออกด้านข้าง แต่มีแนวโน้มขึ้น และมีโอกาสทำนิวไฮอีกครั้งในช่วงสิ้นปี”

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ดัชนีหุ้นก็ได้ไต่ระดับใกล้เคียง 1,700 จุดมาเรื่อยๆ แล้ว ก็ต้องมาลุ้นว่าดัชนีหุ้นจะขยับอันดับและทำนิวไฮภายในเดือนตุลาคมนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องมาลุ้นกัน!

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ทางสำนักวิเคราะห์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังปรับเป้าจีดีพีใหม่กันแล้ว!!