ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | คนของโลก |
เผยแพร่ |
ซอ อ๊ก รยอล เคยเป็นสายลับหนุ่มเกาหลีเหนือ ที่เดินทางเล็ดลอดเข้ามาในเกาหลีใต้เพื่อทำภารกิจลับเพื่อชาติ ตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
แม้อุดมการณ์ความเชื่อของอดีตสายลับในวัย 90 ปีจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ทว่า สิ่งเดียวที่เขาต้องการเวลานี้ก็คือการได้ “กลับบ้าน”
รัฐบาลเกาหลีใต้ปล่อยอดีตนักโทษเกาหลีเหนือราว 60 ชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ในคุกมาเป็นระยะเวลายาวนานกลับประเทศเมื่อปี 2000 ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นทหาร รวมถึงสายลับ หลังการทำข้อตกลงครั้งสำคัญระหว่างรัฐบาลเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
ทว่า ซอ ที่วันนี้ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเดิน ไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มชาวเกาหลีเหนือที่ได้กลับบ้าน เนื่องจากเขาได้ลงนาม “ภักดีกับเกาหลีใต้” เพื่อแลกกับการปล่อยตัวเป็นอิสระ
ข้อตกลงที่ทำให้ซอได้รับสัญชาติเกาหลีใต้ด้วยโดยปริยาย
ซอ ผู้ที่เกิดบนเกาะตอนใต้ในเกาหลีใต้ เริ่มมีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์สมัยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงโซล ก่อนเข้าร่วมรบกับกองทัพเกาหลีในช่วงสงครามเกาหลีอันดุเดือด
ซอได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคแรงงานของเกาหลีเหนือ และเคยทำงานเป็นครูในกรุงเปียงยาง ทำงานในโรงเรียนฝึกสายลับช่วงทศวรรษที่ 60
ซอถูกส่งไปทำภารกิจที่มีเป้าหมายเพื่อชักชวน “เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีใต้” ให้แปรพักตร์เข้าร่วมกับเกาหลีเหนือตามน้องชายที่เข้าร่วมไปก่อนหน้านี้แล้ว
ซอต้องว่ายน้ำข้ามแม่น้ำยอมฮวา เล็ดลอดข้ามชายแดนกลับมาพบพ่อแม่พี่น้องที่บ้านเกิดในเกาหลีใต้ และเดินทางไปทำภารกิจ ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นความล้มเหลว เมื่อเป้าหมายปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับเกาหลีเหนือ
ภารกิจที่ล้มพับลงไม่เป็นท่าทำให้ซอต้องอาศัยอยู่ในเกาหลีใต้นานนับเดือนอย่างหลบๆ ซ่อนๆ จนในที่สุด ซอก็ได้รับโค้ดลับทางวิทยุที่เป็นคำสั่งให้ซอ “เดินทางกลับ”
โชคร้าย สายลับเกาหลีเหนือเดินทางไปยังจุดนัดพบกับเรือที่ถูกส่งมารับตัวไม่ทันเวลา ซอพยายามว่ายน้ำกลับบ้าน ทว่ากลับต้องถูกคลื่นพัดขึ้นสู่ฝั่งก่อนถูกทหารเรือเกาหลีใต้จับกุม
“ในฐานะสายลับ คุณจะต้องฆ่าตัวตายไม่ว่าจะด้วยการกลืนยาพิษหรือใช้อาวุธ” ซอระบุ แต่ว่า “ตอนนั้นมันไม่มีแม้แต่เวลาที่จะฆ่าตัวตาย”
ซอถูกสอบสวนและทรมานอยู่นานนับเดือน ก่อนถูกตัดสินให้ประหารชีวิตในข้อหาจารกรรม ลงเอยด้วยการถูกขังเดี่ยวด้วยสภาพอันทารุณโหดร้าย และต้องเห็นสายลับเกาหลีเหนือถูกส่งตัวไปประหารชีวิตทีละคนๆ
ซอได้รับการลดโทษในปี 1963 ด้วยเหตุว่าเขาเป็นสายลับมือใหม่และทำภารกิจไม่สำเร็จ ทว่า ในปี 1973 ซอถูกตัดสินประหารชีวิตอีกครั้งในข้อหาเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ให้เพื่อนผู้ต้องขัง
“แม่ผมเป็นลมในศาลหลายครั้งตอนที่อัยการยื่นฟ้องขอประหารชีวิต และศาลตัดสินประหารชีวิตผม” ซอระบุ พร้อมทั้งเล่าว่า พ่อและแม่ต้องขายบ้านเพื่อนำเงินมาสู้คดีจนได้รับการลดโทษอีกครั้ง แต่ทั้งคู่ก็เสียชีวิตลงขณะที่ซอยังอยู่ในคุก
แม้ซอต้องถูกทรมานอย่างหนักหน่วงตามนโยบายของรัฐบาลเผด็จการเกาหลีใต้ในเวลานั้น ทว่าซอยังคงหนักแน่นกับอุดมการณ์ของตนเอง ยอมถึงขั้นสูญเสียดวงตาที่อักเสบอย่างหนักไปหนึ่งข้าง
“พวกเขาบอกให้ผมเปลี่ยนแนวคิด สัญญากับผมว่าจะอนุญาตให้ไปรักษาที่คลินิก ผมปฏิเสธ แม้ว่านั่นจะหมายถึงผมต้องเสียดวงตาไป ผมต้องยึดมั่นกับอุดมการณ์” ซอเล่า
หลังใช้ชีวิตในเรือนจำเป็นเวลา 3 ทศวรรษ ซอยอมเปลี่ยนใจในปี 1991 และให้คำมั่นว่าจะทำตามกฎหมายของเกาหลีใต้ เพื่อแลกกับการปล่อยตัวอย่างมีเงื่อนไข
หลังจากนั้นซอย้ายไปอาศัยในเมืองกวางจู เมืองใกล้บ้านเกิด และอยู่ไม่ไกลจากบ้านพี่น้องนัก ทว่าซอก็ยังคงฝันว่า วันหนึ่งจะได้กลับไปพบภรรยาและลูกในวันที่เกาหลีเหนือและใต้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
เมืองกวางจู เป็นเมืองฐานเสียงกลุ่มการเมืองเอียงซ้ายของเกาหลีใต้ และนักเคลื่อนไหว 25 กลุ่มได้ยื่นหนังสือต่อรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวซอ และอดีตนักโทษเกาหลีเหนือกลับบ้าน โดยระบุว่า การลงนามภักดีกับเกาหลีใต้นั้นเป็นไปโดยถูกบังคับ
หลังซอถูกปล่อยตัวไม่กี่ปี หญิงชาวเกาหลีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเยอรมนี และเคยเดินทางไปกรุงเปียงยางบอกข่าวดีกับซอว่า ภรรยาและลูกของเขายังมีชีวิตอยู่
ซอ อ๊ก รยอล อดีตสายลับที่ดูแข็งขืนและเย็นชา กลับมีน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อต้องตอบคำถามว่า จะพูดอะไรกับภรรยาหากได้กลับไปพบกันอีกครั้ง
“ผมอยากจะบอกว่า ขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่” ซอระบุ และว่า ตนยังคิดถึงภรรยาและลูกอยู่เสมอ