การต่อสู้ เชิง ‘บุ๋น’ ระหว่าง เซี่ยวลี้ปวยตอ กับ ‘โฉมสะคราญ’/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

การต่อสู้ เชิง ‘บุ๋น’

ระหว่าง เซี่ยวลี้ปวยตอ

กับ ‘โฉมสะคราญ’

 

ระหว่างลิ่มเซียนยี้กับลี้คิมฮวง อาจกล่าวได้ว่า ดำรงอยู่อย่างชนิด “ศีลเสมอกัน” เพราะต่างฝ่ายต่างเผชิญประสบกันอย่างเยือกเย็น

“ท่านเหตุใดต้องหลับตา หรือไม่ยินดีพบเห็นข้าพเจ้า”

ได้ยินคำปฏิสันถารเช่นนั้นสิ่งเดียวที่ “เซี่ยวลิ้วฮวง” จะสามารถกระทำได้ก็คือ ส่งเสียงหัวร่อเบาๆ และตามมาด้วยคำตอบ

“ข้าพเจ้าเพียงแต่กำลังหวนคิดถึงสภาพที่ท่านเปลื้องจนเปล่าเปลือย”

ใบหน้าลิ่มเซียนยี้คล้ายแดงระเรื่อขึ้นวูบหนึ่งและกล่าวด้วยเสียงละห้อย “ข้าพเจ้าความจริงหวังให้ท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ทราบความหวังนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

แต่ท่านพบข้าพเจ้าแล้วกลับไม่ตื่นตกใจ หรือท่านนึกออกแต่แรกว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ใด”

นั่นเท่ากับแทงไปยัง “ความนัย” อันเร้นและดำรงอยู่ภายในความนึกคิดตลอดมานับแต่ได้ยินการเอ่ยอ้างนาม “โฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน” อยู่เรียงเคียงคู่มากับนามของ “ลิ่มเซียนยี้” จากเหล่าจอมยุทธ์

“อาจบางทีสตรีที่บู๊ลิ้มยกย่องว่าสวยสะคราญมีอยู่ไม่มากเลย”

 

ในเมื่อดำรงอยู่ในลักษณาการแห่งความเป็นผู้ “มีศีลเสมอกัน” การสนทนาระหว่างลิ่มเซียนยี้กับลี้คิมฮวงจึงไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด

ต้องเริ่มจากลิ่มเซียนยี้

“นี่อาจบางทีเนื่องเพราะท่านเห็นศิษย์อีเข่าจึงนึกถึงแชม้อชิ่วทั้งสองของข้าพเจ้า เมื่อพบอิ้วเล้งเซ้งก็นึกถึง “กระบี่ไส้ปลา” (ฮื้อตึ่งเกี่ยม) เล่มนั้น ใช่หรือไม่”

ลี้คิมฮวงมิได้ตอบว่า ใช่ หรือมิใช่

ลีลาของมันจึงแฉลบออกเป็น “ข้าพเจ้าเพียงแต่ประหลาดใจ ในเมื่อท่านทราบว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี้ไฉนยังกล้ามาพบข้าพเจ้า”

ลิ่มเซียนยี้ขบริมฝีปาก ขบคิดแล้วจึงตอบ

“สะใภ้อัปลักษณ์ในเมื่ออย่างไรก็ต้องพบ ‘กงพั้ง’ (บิดามารดาสามี) ซุกซ่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น พอเล้งซี่กอเรียกข้าพเจ้ามาข้าพเจ้าก็รีบเร่งมาทันที หรือท่านยังไม่เข้าใจเจตนาของเล้งซี่กอ

ท่านมีความคิดจะกรุยทางให้เราทั้งสองได้สนิทสนมกันอยู่นานแล้ว อาจบางทีเนื่องจากท่านมีความรู้สึกละอายที่ไปชิง…”

กล่าวถึงตอนนี้สีหน้าลี้คิมฮวงพลันเครียด เย็นชา

 

ถามว่าลิ่มเซียนยี้รู้หรือไม่ว่าหากพูดออกมาเช่นนี้ลี้คิมฮวงจะรู้สึกอย่างไร ถามต่อไปอีกว่าแล้วเหตุใดนางยังต้องเอ่ยอ้าง

เอ่ยอ้างถึง “เล้งโซ่วฮุ้น” เอ่ยแล้วก็งันชะงัก

ลี้ชิ้มฮัวกลับคล้ายยังรอให้นางกล่าวสืบต่อ ชั่วครู่ให้หลังจึงกล่าวย้ำ อย่างหนักแน่น จริงจัง ทีละคำ ทีละคำ

“ไม่ว่าผู้ใดไม่ต้องเสียใจต่อข้าพเจ้า มีแต่ข้าพเจ้าที่ต้องเสียใจต่อผู้อื่น”

แม้ได้ยินดังนั้น แม้มีการถามและตอบในหลายถ้อยคำ หลายประโยค กระนั้น ลิ้มเซียนยี้กลับมากด้วยความมั่นใจ

มั่นใจว่า “ตน” รู้ในความเป็น “ลี้ชิ้มฮัว”

“ข้าพเจ้าย่อมทราบ ข้าพเจ้าเมื่อเยาว์วัยก็ได้ยินเรื่องราวของท่านแล้ว ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นสถานที่ซึ่งท่านเคยพักอาศัยอยู่ข้าพเจ้าถึงกับลิงโลดยินดีจนนอนไม่หลับ

ท่านดู ข้าวของทุกสิ่งในห้องนี้ ใช่ล้วนเป็นเช่นเมื่อสิบปีก่อนหรือไม่

แม้แต่สุราที่ท่านเก็บซ่อนอยู่ในแคร่หนังสือขวดนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้แตะต้อง ท่านทราบหรือไม่ว่านี่เป็นเพราะเหตุใด

ท่านย่อมไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้าสามารถบอกต่อท่าน

ทั้งนี้ เพราะมีแต่คงสภาพเช่นนี้ข้าพเจ้าค่อยรู้สึกว่านี่เป็นสถานที่ของท่าน บางครั้งแม้แต่ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกว่าท่านอยู่ภายในห้องนี้ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้มองดูข้าพเจ้าอย่างสงบ สนทนาเป็นเพื่อนข้าพเจ้าอย่างแผ่วเบา บางครั้งข้าพเจ้าตื่นขึ้นมากลางดึกยังรู้สึกว่าท่านคล้ายนอนอยู่ข้างกายข้าพเจ้า

บนเตียงนอน บนปลอกหมอน ยังมีกลิ่นอายของท่าน”

 

หาก ณ เบื้องหน้ามิใช่ “เซี่ยวฮวงลิ้ว” หาก ณ เบื้องหน้า มิใช่ผู้ที่เคยพบเห็นแชม้อชิ่ว มิใช่ผู้ที่เคยพบเห็นฮื้อตึ่งเกี่ยม

มิได้ผ่านการแย่งชิง “กิมซีกะ”

คงไม่มีคำถาม คงไม่มีความเข้าใจ “นอกจากข้าพเจ้าแล้วเกรงว่ายังมีผู้อื่นกระมัง สถานที่นี้เป็นของท่านแล้ว ท่านอนุญาตผู้ใดเข้ามาก็ได้”

นี่ย่อมดำเนินไปในลักษณะถามตรง

“ท่านเข้าใจว่าอิ้วเล้งเซ็ง คูต๊กและพวกต้องเคยเข้ามา ใช่หรือไม่ บอกต่อท่าน ข้าพเจ้าไม่เคยอนุญาตคนเหล่านั้นผ่านเข้าประตูบานนี้ ดังนั้น พวกมันได้แต่รอคอยในดงเหมย

หากข้าพเจ้ายินยอมให้พวกมันเข้ามาฉิ้งเต้งกับคูต๊กคงไม่เสียชีวิตแล้ว

ทั้งนี้ เพราะนี่เป็นสถานที่ของท่าน ข้าพเจ้าต้องการ ต้องการรักษาไว้ให้แก่ท่าน ไม่อาจปล่อยให้บุรุษอื่นเข้ามา ทำลาย ทำลาย”

นางคล้ายไม่ทราบสมควรกล่าวกระไรอีก

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มเล็กน้อยกล่าวแทนนางว่า “กลิ่นอายข้าพเจ้า เช่นนั้นหรือ”

ลิ่มเซียนยี้หน้าแดงวูบ ก้มศีรษะแล้วกล่าว “ท่านเข้าใจความหมายของข้าพเจ้าแล้วกระมัง หากมิใช่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีจิตใจต่อท่านตั้งแต่แรก วันนั้นข้าพเจ้าไหนเลย”

คำว่า “วันนั้น” พอกล่าวออกก็ “แจ่มชัด”

 

แจ่มชัดว่าเป็นวันอันนางปรากฏตัวในลักษณาการแห่ง “คนชุดเขียว” และถึงกับยินยอมเปลื้องอย่างเปล่าเปลือย ณ เบื้องหน้าลี้คิมฮวง

แต่ละคำกล่าวของลี้คิมฮวงจึงดำเนินไปในลักษณะถามนำ

“จนบัดนี้ข้าพเจ้าค่อยทราบว่า ในตัวข้าพเจ้ามีกลิ่นอาย เช่นนี้เป็นว่า มิต้องให้ผู้อื่นชักจูง เชื่อมโยงข้าพเจ้าก็มีความหวังแล้ว”

มิได้หมายเพียง “เล้งโซ่วฮุ้น” หากยังเป็น “ลิ่มเซียนยี้”

“ที่แท้วันนั้นท่านทำเช่นนั้น เพียงเพราะชมชอบข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังเข้าใจว่าท่านสืบเนื่องจากเสื้อเกราะใยทองเสียอีก”

“เป้าหมาย” ของลิ่มเซียนยี้แจ่มชัด

“ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ย่อมสืบเนื่องจากเสื้อเกราะใยทองด้วย แต่หากเป้าหมายมิใช่ท่านข้าพเจ้าไหนเลยยินยอม ไหนเลยยินยอม ท่านคงประหลาดใจ ข้าพเจ้าไฉนต้องการเสื้อเกราะใยทองถึงเพียงนั้น”

ต้องการถึงกับยินยอมแลกกับ “แชม้อชิ่ว” ถึงกับยินยอมแลกกับ “ฮื่อตึ้งเกี่ยม”

“นั่นเป็นเพราะข้าพเจ้าต้องการฆ่าโจรดอกเหมยกับมือ ท่านสมควรทราบ ไม่ว่าผู้ใดฆ่าโจรดอกเหมยได้ข้าพเจ้าต้องแต่งกับมัน คำพูดนี้แม้เป็นข้าพเจ้ากล่าวเอง แต่นี่มีความลับคับใจอยู่มากหลาย

ข้าพเจ้าทำเช่นนี้เพียงเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการแต่งกับผู้คน ดังนั้น หากข้าพเจ้าฆ่าโจรดอกเหมยเองก็ไม่ต้องแต่งกับผู้อื่นแล้ว

เพียงเพราะบุรุษทั้งแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดที่ข้าพเจ้าพึงตาต้องใจ”

 

ในคำกล่าวของลิ่มเซียนยี้เหมือนกับจะเป็นกฎ เหมือนกับจะมีความเด็ดขาด แต่เป็นความเด็ดขาดที่นางเองก็ยอมรับกับลี้คิมฮวง

“ท่านย่อมมีข้อยกเว้น

ทั้งนี้ เพราะท่านแตกต่างกับบุรุษอื่น คนเหล่านั้นคล้ายสุนัข ไม่ว่าข้าพเจ้าปฏิบัติต่อพวกมันอย่างไรพวกมันยังคงรบเร้าพัวพันข้าพเจ้าไว้ มีแต่ท่าน”

ยิ่งกล่าว “มีแต่ท่าน” ยิ่งยอกย้อนและนำไปสู่ “ข้อยกเว้น”

ถามว่าลี้คิมฮวงมีบทสรุปอย่างไรภายหลังการสนทนาและนัดหมายอย่างเป็นการลับกับลิ่มเซียนยี้

มันตระหนักใน “ตัวตน” ของลิ่มเซียนยี้

มันประจักษ์ชัดในแต่ละ “ข้อมูล” ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างแชม้อชิ่วกับคูต๊ก ระหว่างฮื่อตึ่งเกี่ยมกับอิ้วเล้งเซ็ง และอาการบาดเจ็บสาหัสของฉิ้งเต้ง

มีความแจ่มชัดแต่ก็ค่อยๆ ถลำลงไปสู่ “กับดัก” จนได้