บางอย่างในความรักของเรา (17) ภาค 2 / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (17)

ภาค 2

 

เป็นเวลากว่าสิบปีหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดในวันนั้น ผมพลัดพรากจากปิ่นด้วยลักษณาการเช่นนั้นเอง ความรู้สึกจบสิ้น หมดเรี่ยวแรงไปต่อ ความรู้สึกหมดหวัง ยอมแพ้ ยกธงขาว แล้วแต่จะเรียกเกิดขึ้นกับผม ไม่มีอีกแล้วอนาคตที่ผมวาดหวังไว้กับปิ่น

แม้ว่าผมจะรักเธอมากเพียงใด อายุขัยของความรักระหว่างผมกับปิ่นก็สิ้นสุดลงตรงนั้นเอง

ผมลาพักการศึกษาเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากสิ้นการศึกษาในภาคปลาย

คะแนนสอบของผมแม้จะไม่สูงลิบลิ่วแต่ก็มากพอที่ทำให้ผมมั่นใจว่าการศึกษาเพื่อหวังในปริญญาของผมน่าจะไม่เป็นหมัน

ปีการศึกษาที่สอง สามและสี่ เป็นปีการศึกษาที่ผมจะต้องเรียนวิชาของคณะแล้ว และผมยังรู้สึกไม่พร้อมที่จะเผชิญกับมัน

ผมหลงใหลในวิชาพื้นฐานเป็นอย่างมาก ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ อารยธรรมตะวันตกและตะวันออก ปรัชญา สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงเรื่องราวของศาสนา

ผมอิ่มเอมกับมันและไม่รู้สึกว่าการเป็นผู้ที่รู้ลึกในรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ หรือศาสตร์ใดอื่นในด้านสังคมจะจับจิตจับใจผมได้ อย่างน้อยผมควรใช้เวลากับตนเองให้มากกว่านี้แทนที่จะเป็นเวลาในชั้นเรียน

เพื่อนร่วมชั้นปีของผมไม่มีทีท่าแปลกใจเมื่อผมบอกว่าผมตัดสินใจที่จะพักการศึกษาเป็นเวลาหนึ่งปี อย่างน้อยมันก็เป็นการลาพักการศึกษาโดยสมัครใจ หาใช่การถูกสั่งให้พักการศึกษาเพราะความผิดหรือเหตุผลอื่น

อีกอย่างสำหรับพวกเขาแล้วผมดูเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีที่แปลกประหลาดเต็มที พวกเรามีโต๊ะประจำกลุ่มของตนซึ่งผมใช้สมาคมน้อยเต็มที

การสมัครใจอยู่แต่ในหอสมุดทำให้ผมแลดูเหมือนคนประหลาดที่ยากจะเข้าใจ

แต่ก็นั่นเองผมรู้สึกว่าการอธิบายสิ่งใดในเรื่องที่ว่านี้เป็นความฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น

 

แม้จะลาพักการศึกษา แต่ผมตัดสินใจเช่าห้องพักที่บริเวณซอยบ้านช่างหล่อต่อไป ผมไม่ได้บอกพ่อและแม่ถึงการตัดสินใจดังกล่าว

อีกทั้งผมตัดสินใจที่จะหาเงินเองสำหรับการใช้ชีวิตต่อไปนี้

จริงอยู่ในยุคสมัยนั้นค่าเรียน ค่าลงทะเบียนในแต่ละหน่วยกิต ค่าอาหารและความเป็นอยู่หาได้มีอัตราที่สูงมากนัก แต่กระนั้นผมตัดสินใจที่จะเก็บเงินที่พ่อและแม่มอบให้ในแต่ละเดือนไว้สำหรับการศึกษาต่อยังต่างประเทศ

ความตั้งใจนี้อาจมีผลมาจากปิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากปิ่นสามารถโบยบินจากประเทศนี้ได้ ผมก็จะทำอย่างนั้นเช่นกัน แต่ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง

สิบปีผ่านไปสำหรับการตัดสินใจนี้ เพียงแต่ผมไม่เคยได้เรียบเรียงมันขึ้นมาอย่างแจ่มชัด วันที่เพื่อนของปิ่นพบกับผมที่ร้านกาแฟกลางป่าก่อนทางขึ้นอำเภอสะเมิงนั้นเองที่ทุกอย่างผุดขึ้นราวกับเทปบันทึกภาพที่ยังไม่เคยพบกับเครื่องฉายที่เหมาะสม

เช้าวันถัดมาหลังการสนทนาผมชงกาแฟหนึ่งแก้วและเริ่มต้นจดบันทึกทุกอย่างลง บันทึกในเรื่องราวของความรักระหว่างผมกับปิ่น เรื่องราวที่ผมคิดว่าตนเองได้ลืมเลือนมันไปเนิ่นนานแล้ว

หากไม่เป็นเพราะ “นาง” บุคคลผู้แจ้งข่าวการเลิกราระหว่างปิ่นกับสามีของเธอ ผมคงไร้เรี่ยวแรง

หากมีความเจ็บปวดระหว่างผมกับปิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับ “นาง” ก็เป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงข้ามสิ่งเหล่านั้น

ผมกับ “นาง” มีความสัมพันธ์ที่ดี ดีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ และหากปิ่นและครอบครัวของเธอเป็นผู้ทำร้ายผมจนบาดเจ็บ ผมเองก็ทำร้าย “นาง” ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย

 

สิบกว่าปีก่อน “นาง” เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนมัธยมปลายของผมและปิ่น ผมสารภาพว่าในยามนั้นสำหรับโรงเรียนที่เป็นศูนย์รวมของการศึกษา เรามีผู้คนมากมายอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผมสังเกตเห็น “นาง” น้อยเต็มที

นางมาโรงเรียนเช้ากว่าใคร นั่งอ่านหนังสือจนได้เวลาเรียน เป็นคนพูดน้อย ปราศจากความโดดเด่น

และเหนือไปกว่านั้น นางยังมีลักษณะพิเศษ ติ่งหูข้างขวาของนางขาดแหว่งวิ่นไปบางส่วน ซึ่งหากสังเกตจากระยะไกลจะไม่พบ แต่ยามสนทนาใบหูที่ไม่สมประกอบเช่นนี้จะดึงดูดสายตาเราอย่างรุนแรง

ผมไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดสภาพการไร้สมดุลเช่นนี้ของนางจึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจคนทั้งหลายไปได้

อาจเป็นเพราะใบหูคืออวัยวะอันอ่อนนุ่มที่เราคิดว่าผู้เป็นเจ้าของจะดูแลมันอย่างดี อาการทุพพลภาพเช่นนี้ย่อมแสดงถึงอุบัติเหตุที่รวดเร็วเกินกว่าจะตั้งสติรับมือได้ทัน

แต่แน่นอนไม่เคยมีใครถามนางถึงสาเหตุนั้น

การทำร้ายนางของผมเริ่มต้นด้วยที่เช้าวันหนึ่ง เหล่านักเรียนชายในห้องนั่งเล่นหน้าห้องด้วยความรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำดีกว่านี้ แต่แล้วใครสักคนก็เสนอว่าเราควรตั้งสมญานามให้ครูในแต่ละวิชา กิจกรรมดังกล่าวนั้นไม่ใช่ของแปลก การตั้งสมญานนามให้ครูเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกชั้นปี

เราเริ่มต้นตั้งสมญานามครูสอนวิชาฟิสิกส์ว่า “โอเล่” เพราะครูคนนั้นชอบอมลูกอมโอเล่ระหว่างสอน

ตั้งสมญานามครูสอนวิชาภาษาอังกฤษว่า “ฟาร่าห์” เพราะครูชอบทำผมทรงฟาร่าห์ ฟอร์เซ็ตต์ นักแสดงนำชาวอเมริกันในยุคนั้น

การตั้งสมญานามเลยเถิดไปจนถึงการตั้งสมญานามให้กับเพื่อนผู้หญิงในห้อง และแล้วผมเองก็เอ่ยขึ้นว่า “นาง” ควรมีสมญานามว่า “ซามูไร” เพราะหูของนางน่าจะโดนดาบซามูไรฟันขาดตั้งแต่ยามเด็ก

สมญานามที่ว่านั้นได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ชั่วโมงแรก เมื่อนางนั่งบังกระดานดำ ใครบางคนในหมู่พวกเราก็ตะโกนออกมาว่า “ซามูไร ช่วยเอียงคอหลบหน่อย”

การหยอกล้อเล็กๆ ที่ดูไม่มีแก่นสารเยี่ยงนี้กระพือไปจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งจนในที่สุดนางก็ล่วงรู้ในสมญานามของตนเอง

และรู้ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังห้องและไม่เคยมีบทสนทนาใดกับเธอคือผู้มอบการล้อเลียนอันน่ารังเกียจนี้

 

แทนการมึนตึงหรือโกรธเคือง ผมกลับรู้สึกได้ว่านางมีความตั้งใจที่จะพูดคุยกับผม และเป็นผมเสียอีกที่พยายามหรือหาหนทางหลบเลี่ยงเธอ

อาจเป็นเพราะความสำนึกผิดหรือความละอายใจที่มีต่อนางก็ตามที

หากนางเดินผ่านมาทางซ้ายในโรงอาหาร ผมจะโฉบลุกหรือเดินหนีไปทางขวา

หากเดินอยู่บนถนนแล้วผมเห็นนางเดินสวนทางมาระยะไกลผมจะกลับหลังหันและออกแรงก้าวเท้าเดินอย่างเร่งรีบ

ผมทำตัวหลีกเลี่ยงเช่นนั้นอยู่เสมอจนถึงวันสุดท้ายของการเรียนในชั้นมัธยมปลาย ในวันนั้นเราทุกคนล้วนพกสมุดเฟรนด์ชิปที่ต้องให้เพื่อนทุกคนในห้องเรียนเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดของเรา

ผมถือสมุดเดินเข้าไปหานาง ชื่อของเธอคือบุคคลสุดท้ายที่ผมตั้งใจไว้ มือของผมที่ถือสมุดสั่นระรัวพร้อมกับใจที่เต้น

นางรับสมุดเฟรนด์ชิปจากผมพร้อมกับยื่นสมุดเฟรนด์ชิปของเธอมาให้ผมด้วยในเวลาเดียวกัน

ผมเขียนถ้อยคำเพียงว่าขอให้เธอโชคดี ในขณะที่เมื่อผมรับสมุดจากนาง เธอบอกกับผมว่าให้ผมเปิดมันขึ้นอ่านในพื้นที่ส่วนตัว

ผมทำเช่นนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน ข้อความที่นางเขียนถึงผมยืดยาวกว่าข้อความที่ผมเขียนถึงเธอ

นางเขียนว่าเธอหาได้โกรธเคืองหรือไม่พอใจใดเลยต่อผมแม้นจะรู้สึกว่าสมญานาม “ซามูไร” นั้นดูไม่เหมาะกับเธอเท่าใดนัก และออกจะเฉิ่มเชยไร้ความคิดสร้างสรรค์มากเอาเสียด้วย

นางปิดท้ายข้อความว่า “หวังว่าเราจะได้พบกันอีก”

และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่เดียวกับผมและปิ่น

ผมพบเธอบ่อยครั้งที่ร้านอาหารแถบท่าพระจันทร์ นางมักมากับเพื่อนคณะของเธออยู่สุดออกไปด้านถนนพระอาทิตย์ และเป็นเธอแทบทุกครั้งที่จะตะโกนเรียกชื่อผมจากระยะไกล และเป็นเธอทุกครั้งที่จะถามไถ่ผมว่ามีปัญหาด้านการเรียนหรือไม่เมื่อพบว่าผมหายหน้าไปจากห้องเรียนนานจนผิดสังเกต

และเป็นเธออีกเช่นกันที่บอกผมว่าปิ่นได้เดินทางไปต่างประเทศแล้วหลังงานศพของผู้เป็นมารดา และเป็นเธออีกเช่นกันที่บอกข่าวเรื่องการหย่าร้างของปิ่นแก่ผมในอีกสิบปีต่อมา

 

หนทางการแสวงหารายได้ของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งขึ้นสู่ปีที่สองนั้นไม่มีมากนัก ในด้านหนึ่งเราอาจจะมีพลังงานแห่งความปรารถนาแห่งการเผชิญโลก แต่ในอีกด้านเราไม่มีความชำนาญใดเลย

ผมพบว่าตนเองเมื่อเทียบกับเพื่อนที่มาจากต่างจังหวัด ผมช่างอ่อนด้อยไปเสียทุกด้าน หุงหาอาหารก็เคอะเขิน ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เป็น ถ้าถึงขั้นเดินป่าหาอาหารยิ่งไม่ต้องพูดถึง

การเป็นคนเมืองมาทั้งชีวิตทำให้ผมพบว่าการเดินหางานทำด้วยความสามารถเยี่ยงนี้ดูเป็นเรื่องไกลเกินฝัน

มีจุดเปลี่ยนสองประการในชีวิตมหาวิทยาลัยที่ส่งผลต่อผม อาจารย์นพพรคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนนั้น

อีกจุดเปลี่ยนหนึ่งคือชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ลานโพธิ์ใต้อาคาร ในทุกบ่ายที่การเรียนการสอนในห้องเรียนเต็มไปด้วยความอึดอัด ผมจะละสายตาไปยังภาพของชายที่นั่งสูบบุหรี่อยู่อย่างสบายอารมณ์บนแท่นหินกลมรอบต้นโพธิ์

เขาสวมใส่เสื้อแขนยาวที่เชื่อว่าผู้เป็นเจ้าของไม่สนใจการรีดมันให้ขึ้นกลีบ กางเกงตัวโคร่ง ไว้ผมยาว หากแต่มัดผมอย่างเรียบร้อย

ท่าทีของเขาผ่อนคลายดูเหมือนไม่แยแสใครทั้งโลก

แต่ในยามเดินผ่านเมื่อแอบมองเขา ผมจะเห็นแววตาอ่อนโยนเป็นมิตรอย่างยากจะหาได้ในผู้ใด

เป็นเวลานานหลายเดือนจากการสอบถามใครสักคนกว่าผมจะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มรุ่นพี่คนนั้นมีนามว่า “พจนา”

แต่ที่ทำให้ผมตื่นเต้นกว่านั้นคือการได้รู้ว่าเขาคือผู้แปลหนังสือที่ชื่อ “วิถีแห่งเต๋า” อันโด่งดัง และยังเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ “ขลุ่ยไม้ไผ่” อันเป็นการรวมงานเขียนในรูปแบบของบทกวีไฮกุที่ผมชื่นชอบอีกด้วย

ขลุ่ยไม้ไผ่เป็นหนังสือเล่มบางที่ผมได้มาจากร้านหนังสือแถวสยามสแควร์และพกมันติดตัวเป็นเวลาหลายเดือน

ภาษาอันเรียบง่ายและจริงใจในหนังสือเล่มนั้นจับใจผมอย่างยิ่งจนผมคัดลอกมันหลายบทลงในสมุดส่วนตัว

การใช้ชีวิตอยู่ในหอสมุดทำให้ผมพบว่าในชั้นของวรณคดีตะวันออกมีหนังสือรวมบทกวีไฮกุที่ดีหลายเล่ม ผมอาศัยแรงบันดาลใจจาก “พี่พจนา” แปลบทกวีเหล่านั้น

และในวันที่อับจนหนทางแห่งการหางาน ผมตัดสินใจที่จะทำงานเป็นนักแปลเยี่ยง “พี่พจนา”

ผมรวบรวมงานแปลของตนเอง เปิดดูสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือวิถีแห่งเต๋า มันตั้งอยู่บนถนนสายเล็กแถวสี่พระยา

และในบ่ายวันหนึ่ง ผมหอบงานทั้งหมดของตนเอง นั่งรถเมล์สาย 75 จากท่าช้าง ลงตรงถนนแถวบางรัก

ก่อนจะมุ่งหน้าไปสู่ความฝันที่หลงเหลือประการเดียวในยามนั้น •