“ผู้เกิดในนรก” / ประกวดเรื่องสั้น มติชนอวอร์ด : iMuGi

ประกวดเรื่องสั้น มติชนอวอร์ด

iMuGi

 

“ผู้เกิดในนรก”

 

?รักร่วมเพศต้องตกนรก?

สตรีที่ดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยเกษียณคนหนึ่งยื่นแผ่นพับมาให้ผมพร้อมรอยยิ้มอย่างใจดี แต่ผมดันขมวดคิ้วแทนรอยยิ้มตอบกลับเพราะข้อความบนหน้าแผ่นพับนั้นแทงใจดำผมอย่างจัง ผมพอจะรู้มาบ้างว่าคนบ้านนี้เมืองนี้เขายังไม่เปิดกว้างเรื่องแบบนี้กันแต่ไม่นึกว่าจะแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์กันโต้งๆ ในที่สาธารณะแบบนี้

?พระองค์ทรงรักทุกๆ ท่าน?

ผมแหงนหน้ามองข้อความในป้ายขนาดใหญ่ที่ติดประดับอยู่ข้างผนังของอาคารที่ดูแล้วน่าจะเป็นโบสถ์โปรเตสแตนต์ ถามจริง คุณป้าเขาไม่คิดบ้างเหรอว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นพับนี่กับข้อความในป้ายนั่นมันดูย้อนแย้งพิกล ผมกลอกตาลงมองข้อความในแผ่นพับอีกครั้งก่อนที่ผีบ้าอะไรไม่รู้จะสิงผม มันทำให้ผมพูดสิ่งที่ปกติแล้วผมจะไม่พูดกับผู้ใหญ่ออกไป

“งั้น ถ้าคุณป้าเจอผมที่นี่ ก็หมายความว่าคุณป้าตกนรกแล้วน่ะสิครับ”

“…..”

 

***

 

“ยุนซอก* หลับหรือยัง”

“ยังครับ ฮยอง ” เจ้าของใบหน้าขาวนวลที่นอนแนบแก้มอยู่บนแผงอกสีน้ำผึ้งของผมแหงนหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก ดวงตาดำสนิทที่แวววาวอยู่ใต้ขนตายาวสวยทำให้ผมรู้สึกแสนรัก ผมจรดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากเรียบกริบก่อนจะกระซิบออกมาเบาๆ

“รักนายนะ”

“ผมก็เหมือนกันครับ”

“นายตกนรกแล้ว ฉันเป็นผู้ชาย นายก็ผู้ชาย ผู้ชายรักกันต้องตกนรก”

“ผมไม่มีศาสนาครับ เพราะฉะนั้นผมไม่ตกนรก” ยุนซอกยิ้มมุมปาก เขาจับทางได้ว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร การต่อต้านรักร่วมเพศในเกาหลี เขายิ้มกระหยิ่มและตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีรอดไปจากนรกแค่คนเดียว

“ดีจังนะ ขืนพูดแบบนายในประเทศของฉัน ฉันคงโดนใครต่อใครมองว่าเป็นคนประหลาด”

“ประหลาดยังไงเหรอครับ”

“คนบ้านฉันเขานับถือศาสนาตามพ่อแม่ เมื่อก่อนในบัตรประชาชนมีเขียนไว้ด้วยซ้ำว่าศาสนาอะไร”

“เขียนไว้ทำไมเหรอครับ”

“แม่ฉันบอกว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุตายไปจะได้รู้ว่าต้องจัดการศพยังไง”

“อุ๊บ…” ยุนซอกขำพรืดออกมา ผมเองก็หัวเราะออกมาเบาๆ เช่นกัน โตมาผมถึงรู้แจ้ง อา แม่ผมโกหก กู้ภัยจะไปทำอะไรกับศพเราได้ ยังไงพวกเขาก็ต้องรอญาติมารับศพเราอยู่ดี ถ้าไม่มีญาติก็อีกเรื่องหนึ่ง

“ถ้าฮยองตายตอนนี้ ผมต้องทำอะไรบ้างหรือครับ”

“อืม … ก็คงต้องเตรียมรับมือกับวิญญาณอาฆาตล่ะมั้ง ฉันมีฮัน* เพราะฉันยังกอดนายไม่หนำใจเลย ถ้าฉันตายตอนนี้ฉันคงตามหลอกนายไปตลอดชีวิต”

“งั้นก็ทานให้เต็มอิ่มเลยครับ”

“ชัล ม็อกเก็ตซึมนีดา*” ผมโถมตัวเข้าใส่คนตัวเล็กกว่าที่กำลังอ้าแขนกว้างพร้อมรอยยิ้ม ผมใช้น้ำหนักทั้งตัวกดร่างนั้นให้แนบไปกับเตียงนุ่ม ลูกกวางน้อยที่ทอดกายใต้ร่างของหมาป่าล่าเนื้ออย่างว่าง่ายส่งรอยยิ้มเชิญชวน ผมไม่รีรอที่จะจัดการอาหารจานเด็ดเป็นรอบที่สอง ผมว่าวันนี้มันแปลกๆ ยิ่งผมลิ้มลองกวางน้อยตัวนี้มากเท่าไหร่ความอยากในกายผมกลับยิ่งทวี

นี่กวางน้อยของผมทายาบ้าแทนครีมบำรุงผิวหรือเปล่านะ

 

***

 

“ทําไมแกหัวรั้นแบบนี้ อีตั้มลูกป้าแต๋วเขาเป็นตุ๊ดแต่งหญิงด้วยซ้ำ มันยังบวชให้แม่มันได้” เสียงสั่นเครือที่ปลายสายเล่นเอาขอบตาผมร้อนตามไปด้วย ผมรู้สึกแสบที่ปลายจมูก ส่วนเล็บมือข้างซ้ายที่กำแน่นก็จิกลงบนฝ่ามืออย่างแรงจนผมรู้สึกว่าถ้าผมค้างอยู่ในท่านี้อีกสักสองสามนาทีเนื้อที่ฝ่ามือของผมคงทะลุ

“ก็เรื่องของมันครับ อีกอย่างนะครับ เผื่อแม่ไม่รู้ ผมกับตั้มสนิทกันมากกว่าที่แม่สนิทกับป้าแต๋วเสียอีก ผมรู้ว่าที่ตั้มบวชเพราะป้าแต๋วขอเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ก่อนมันจะไปทำนม มันไม่ได้อยากบวชเองด้วยซ้ำ แล้วแม่เห็นไหม ชาวบ้านนินทาพระตั้มว่ายังไง เด็กวัดมันยังเรียกพระตั้มว่าหลวงเจ๊ แม่ว่าป้าแต๋วจะได้ไปสวรรค์จริงๆ เหรอครับ ผมว่าป้าแต๋วจองตั๋วไปทัวร์นรกโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนที่ตั้มน้ำตาตกเพราะต้องตัดผมที่มันหวงนักหวงหนาแล้วมั้ง” ผมใช้ความพยายามระดับมากที่สุดเพื่อยับยั้งตัวเองไม่ให้ตะคอกใส่หูโทรศัพท์ ผมเคยบวชภาคฤดูร้อนเอาใจแม่ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ท่าทางศีลสิบที่ผมเพียรรักษาตลอดช่วงระยะเวลาสามเดือนและประกาศนียบัตรสามเณรดีเด่นมันคงยังไม่มีบุญบารมีมากพอที่จะพาแม่ผมขึ้นสวรรค์

“ใจคอแกจะทำให้แม่เสียใจอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ใช่ไหม” เสียงของแม่ผมเริ่มแข็งกระด้าง ผมไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ ผมรู้ว่าน้ำตาของแกเมื่อกี้มันก็ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่ของผมน่ะใช่ แม่ผมคงโดนยายโดนย่าหรือญาติคนไหนสักคนถามว่าเมื่อไหร่ผมจะบวชสักที แกก็เลยมาคะยั้นคะยอผมแบบนี้

“ทีแม่ยังข่มขืนจิตใจผมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุยี่สิบได้เลยนี่ครับ ผมไม่เคยบอกหรือครับว่าผมไม่อยากบวช”

“…..”

ผมกดปุ่มวางสายก่อนที่แม่จะพูดอะไรออกมาอีก ตอนบ่ายสองผมมีสอบวิชาโปรดของผมเสียด้วย ผมคิดว่าผมไม่ควรกังวลเรื่องอื่นนอกจากนั้น ผมไม่ได้รู้สึกดีนักที่ต่อล้อต่อเถียงกับแม่ แต่ทำยังไงได้ เรื่องนี้ผมไม่ไหวจริงๆ

 

***

 

ยุนซอกมาหาผมที่ห้องพร้อมใบหน้าที่บวมปูด ผมพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาไปหาหมอที่คลินิกใกล้ๆ แต่พูดเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมไป ผมจึงเอาผ้าขนหนูผืนเล็กไปห่อน้ำแข็งมาให้เขาประคบไปพลางๆ ก่อน

“ฮยอง” ยุนซอกที่นั่งประคบเย็นที่หน้าเงียบๆ อยู่นานสองนานเรียกผมขึ้นมา สายตาของเขามองต่ำ ผมรู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่าง ผมพยายามใช้น้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด มือของผมเอื้อมไปวางอยู่บนศีรษะของยุนซอกโดยอัตโนมัติ

“ว่าไง”

“พ่อจะส่งผมไปอยู่กับปู่ที่ยอซู*”

มือของผมที่ลูบหัวกวางน้อยอยู่หยุดชะงักด้วยความตะลึง ยอซู? ทำไมล่ะ? นั่งรถไฟด่วนพิเศษจากโซลไปยอซูใช้เวลาตั้ง 3 ชั่วโมงกว่าๆ เลยนะ ผมพยายามดึงสติไม่ให้ฟุ้งซ่าน และถามสิ่งที่ควรถามออกไป

“ทำไมให้ย้ายปุบปับล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

“…..” ยุนซอกกัดริมฝีปากตัวเองแน่น น้ำใสๆ คลออยู่ที่ขอบตาล่างที่เห่อแดงและดูเหมือนมันพร้อมที่จะหยดไหลเป็นทางตลอดเวลา

“ดื่มซูจองกวา* เย็น ๆ สักหน่อยละกัน ของชอบนายนี่” ผมลุกขึ้นและเดินไปทางตู้เย็นที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“พ่อรู้แล้วว่าเราคบกัน มันจบแล้วครับ”

เสียงเบาๆ เรียบๆ แต่สร้างแรงกระเพื่อมรุนแรงข้างในจิตใจของผมจนผมรู้สึกวูบโหวง ผมหันกลับมามองกวางน้อยที่นั่งหน้านิ่งๆ ราวกับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดถูกบางสิ่งกลืนกินไปจนหมดสิ้น แววตาที่เคยสดใสในยามนี้หมองหม่นไร้ชีวิตชีวา ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล แต่มุมหนึ่งของใจก็เหมือนจะปลงตกได้ว่า อา ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง ความรู้สึกที่ไม่ได้รับการยอมรับ ความบริสุทธิ์ที่ถูกสังคมป้ายสีให้คร่ำเขรอะราวกับเป็นสิ่งที่ผิดบาป ไหนใครว่าความรักคือสิ่งที่สวยงามไง แล้วทำไมเวลาความรักเกิดในคนสองคนที่เป็นเพศเดียวกันมันถึงถูกมองไม่ดีไปได้

“ผมตกนรกแล้วครับ” น้ำใสๆ หลั่งรินลงมาจากดวงตาของยุนซอก เขาพูดพร้อมสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร “พ่อบอกว่าผมน่าขยะแขยง เขาไม่อยากเห็นหน้าผมอีก แม่ผมร้องไห้ แม่เอาแต่ถามผมว่าแม่ทำผิดอะไร ผมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมครับฮยอง ทำไมผมถึงเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่และเป็นกวางน้อยของฮยองไปพร้อมๆ กันไม่ได้”

ผมไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาปลอบโยนกวางน้อยของผมให้สงบสติอารมณ์ลงได้ ผมนั่งลงข้างๆ และให้ยุนซอกเอียงหัวมาพิงบ่าของผมไว้ สายตาของเราทั้งคู่มองไปที่ตู้เย็นสีขาวสะอาด รอยดำเล็กๆ เตะตาผม สีดำที่เปรอะเปื้อนด้วยฝีมือคนนอกไม่ได้ดำอยู่ที่เนื้อใน รอยดำนั้นทำให้ผมเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างลึกซึ้ง

 

***

 

หลายเดือนมานี้ผมมักจะฝันซ้ำๆ กันทุกคืน ยุนซอกในความฝันของผมมักจะปรากฏกายออกมาในชุดที่เขาใส่วันที่มาเดตกับผมเป็นครั้งแรก สเวตเตอร์ไหมพรมคอวีสีน้ำเงินเข้มที่ขับผิวตั้งแต่ช่วงคอจนถึงใบหน้าของเขาให้ดูขาวผ่อง กางเกงยีนส์ขาดๆ วิ่นๆ ในระดับที่ผมคิดว่าผมน่าจะยัดหัวของผมเข้าไปในช่องว่างนั้นได้ สิ่งที่แปลกจากความเป็นจริงคือใบหน้าเขาไม่มีรอยยิ้ม เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารทรงกลมที่ปูด้วยผ้าสีขาวบริสุทธิ์ เบื้องหลังของเขาคือไฟที่ลุกโชติช่วง ไฟนั้นค่อยๆ ลามเข้ามาหายุนซอก ผมไม่สามารถขยับตัวหรือกะพริบตาได้ ผมได้แต่ดูเปลวไฟค่อยๆ ลามมาจนปกคลุมร่างกายของคนรักจนร่างของเขาเป็นตอตะโกไปราวกับมีใครแหกตาผมเอาไว้

‘ผมตกนรกแล้วครับ ฮยอง’ ทุกครั้งผมจะสะดุ้งตื่นหลังจากที่ได้ยินประโยคนี้ ประโยคที่เขาพูดก่อนตาย เขาใจร้ายกับผมมาก วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขามาหาผมด้วยใบหน้าบวมปูด ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูแบบบ้าคลั่ง ยุนซอกไม่ได้นอนอยู่ข้างผม ผมไม่ทันได้คิดอะไร แต่เมื่อผมเปิดประตู ผมก็รู้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารับผมไปสอบปากคำที่โรงพักว่ายุนซอกกระโดดลงไปจากระเบียงห้องผม ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนภาษาเกาหลีที่ลอยเข้าหูมาเป็นภาษาต่างด้าว ผมไม่พยายามเข้าใจอะไรเลยและเอาแต่ยืนเหม่ออยู่นาน อันที่จริง ผมไม่ได้เห็นร่างที่ไร้วิญญาณของเขาหรอกนะ แต่แค่ผมคิดว่าห้องผมอยู่ชั้นเจ็ด ของที่ผมกินไปเมื่อคืนก็พุ่งออกมาจากปากทันที

พระเจ้ารังเกียจรักร่วมเพศจริงๆ หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือคนหลายคนที่นับถือพระเจ้าเกลียดพวกเราเหลือเกิน คนแบบพวกเราในเกาหลีต้องตายไปกี่คนแล้วด้วยความเกลียดชังนี้ ผมระบายความอัดอั้นให้แม่ฟัง และผมก็ต้องแปลกใจว่า ทำไมแม่ซึ่งควรจะเห็นอกเห็นใจผมที่กำลังทุกข์เหลือเกินกลับพูดออกมาหน้าตายว่า ‘ลูกก็บวชแล้วอุทิศบุญให้เขาสิ ลูกจะได้สบายใจ’ ผมอยากตะโกนถามออกไปให้รู้แล้วรู้รอดว่า ทำไมแม่ถึงอยากบวชให้บัณเฑาะก์อย่างผมนัก ผมไม่เข้าใจทำไมต้องเอาทุกเรื่องมาโยงไว้กับศาสนา ผมชอบผู้ชายโดยธรรมชาติ แล้วถ้าคนที่มีศีลน้อยอย่างผมเกิดไปชอบใจอุบาสกหรือพระเณรด้วยกันแล้วผมจะทำยังไง

อา แค่คิดปลายนิ้วเท้าของผมก็ยื่นเข้าไปในนรกแล้ว ผมเองก็ไม่ต่างจากยุนซอก พวกเราต้องตกนรกที่ผู้มีอุปการคุณหยิบยื่นให้ด้วยความหวังดี

 

***

 

พระอุปัชฌาย์เอาบาตรมีสายคล้องตัวผมซึ่งเป็นผู้มุ่งอุปสมบท พระประธานปางมหาจักรพรรดิในโบสถ์มองลงมาที่ผม แม่ผมเคยบอกว่าที่ช่างปั้นองค์พระท่านให้มองลงต่ำก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าท่านกำลังแสดงความมีเมตตาต่อพวกเรา แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่านั่นเป็นดวงตาที่มองผมอย่างสังเวช ผมเดินไปยืนอยู่ระหว่างประตูโบสถ์ทั้งสอง จากนั้นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์เดินมาถามอันตรายิกธรรมอันเป็นพิธีลำดับถัดไป

“มะนุสโสสิ”* เมื่อพระทั้งคู่ถามออกมา ผมรู้สึกได้ว่าน้ำตาผมไหลผ่านแก้มไป ผมนึกถึงคำว่า ?รักร่วมเพศต้องตกนรก? บนแผ่นพับที่มีคุณป้าคนหนึ่งพยายามยื่นให้ผมที่เกาหลี อา ทำไมใครต่อใครถึงอยากให้ผมตกนรกกันนัก วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนเห็นยุนซอกยืนยิ้มให้ผมอยู่ข้างๆ พระประธาน เขากำลังจะบอกให้ผมยอมรับชะตากรรมเหมือนเขาหรือเปล่านะ พระสองรูปที่เห็นผมอยู่ในภวังค์และไม่ยอมตอบจึงถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “มะนุสโสสิ”

“นัตถิ ภันเต” ผมตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ผมและยุนซอกใช้ชีวิตไม่ต่างไปจากสัตว์นรก พวกเราต้องทนทุกข์ พวกเราต้องรักกันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในโลกที่คนจำนวนมากมีอคติกับคนอย่างพวกเรา โลกอันบิดเบี้ยวที่มีแต่ชายจริงหญิงแท้เท่านั้นที่ได้สิทธิ์ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

ถ้าผมจะต้องมอบความรักปลอมๆ ให้ผู้หญิงสักคนเพื่อผมจะได้ขึ้นสวรรค์ ผมขอไปรักกับยุนซอกในนรกดีกว่า •

 

—————————————

1 คำที่ผู้ชายเรียกพี่ชาย

2 ความแค้นเคือง ความคับข้องใจ ความเศร้าใจ คนเกาหลีหลายต่อหลายคนบอกว่าเกาหลีเป็นชนชาติที่มีฮันมาก เพราะตั้งแต่อดีตกาลถูกรุกรานมาโดยตลอด

3 เป็นคำพูดก่อนจะทานอาหาร แปลตรงๆ ได้ว่า “จะกินให้ดี”

4 ชื่อเมืองในจังหวัดชอลลานัม จังหวัดที่อยู่ใต้สุดของเกาหลี

5 น้ำขิงใส่อบเชย เป็นเครื่องดื่มพื้นบ้านของเกาหลี

6 “เธอเป็นมนุษย์ไหม”

 

รวมเรื่องสั้น-กวีนิพนธ์ ประกวด #มติชนอวอร์ด

https://www.matichonweekly.com/matichon-award