ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม - 1 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | Pop Teen |
เผยแพร่ |
เหรียญทองโอลิมปิกที่ “ริโอเกมส์ 2016” จากการแข่งขันว่ายน้ำท่าผีเสื้อ ระยะทาง 100 เมตรชายของ โจเซฟ สคูลลิ่ง นักว่ายน้ำทีมชาติสิงคโปร์ ไม่ได้เป็นแค่ชัยชนะธรรมดา แต่กลายเป็นความสำเร็จของคนทั้งชาติ
เหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ของชาติสิงคโปร์สร้างแรงบันดาลใจและปลุกให้ชาวสิงคโปร์รู้สึกว่า ประเทศเล็กๆ ที่มีขนาดเท่ากับเกาะภูเก็ตก็มีศักยภาพที่จะคว้าเหรียญทองได้เช่นกัน
ที่สำคัญมันคือชัยชนะที่อยู่เหนือฮีโร่ตลอดกาลของสคูลลิ่งอย่าง ไมเคิล เฟลป์ส สุดยอดนักว่ายน้ำของโลก โดยฉลามหนุ่มชาวสิงคโปร์แตะขอบสระทำลายสถิติโอลิมปิกที่ 50.39 วินาที เร็วกว่า ไมเคิล เฟลป์ส ที่ทำไว้ 50.58 วินาที ในปักกิ่งเกมส์ 2008
จังหวะที่สคูลลิ่งแตะขอบสระ เขาหันไปพูดกับเฟลป์สว่า
“ผมไม่รู้จะรู้สึกยังไงเลย แม่งบ้ามาก”
แม้ว่าเฟลป์สจะผิดหวังที่ไม่สามารถเก็บเหรียญทองที่ 23 ให้กับตัวเองได้ แต่เขาก็ยินดีกับเด็กหนุ่มวัย 21 ปีคนนี้ ทั้งคู่รู้จักกันมานาน เฟลป์สยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า
“ผมเข้าใจ”
สคูลลิ่งเล่าความรู้สึกก่อนจะลงแข่งในวันนั้นว่าเขามั่นใจเป็นอย่างมาก
“วันนั้นผมรู้สึกดีมาก มันไม่ได้แปลว่าผมเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งกว่าพวกเขานะครับ แต่ผมแค่รู้สึกว่าวันนี้คือวันของผม ผมน่าจะชนะได้ และก็ทำได้จริงๆ”
ความมั่นใจนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เขาเริ่มนั่งเครื่องบินมาริโอเดอจาเนโร ความคิดเดียวที่อยู่ในหัวสคูลลิ่งคือ “ต้องชนะ”
เขาผ่านรอบคัดเลือกไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เมื่อถึงวันแข่งขันที่รถบัสแล่นเข้ามาในตัวสระว่ายน้ำ เขาคิดกับตัวเองตอนอยู่บนรถว่า “ทุกอย่างกำลังไปได้สวย”
“แต่ตอนที่ผมยืนอยู่ริมสระ ผมแค่โฟกัสและเคลียร์หัวให้โล่งที่สุด” สคูลลิ่งเล่าถึงวินาทีก่อนที่จะกระโดดลงไป “ผมประหม่านิดหน่อย แต่ก็ผ่อนคลาย ภายนอกผมรู้สึกนิ่งมาก แต่ภายในเต็มไปด้วยพายุที่พร้อมจะระเบิดออก แล้วมันก็ระเบิดทันทีที่ผมกระโดดลงไป…ที่เหลือหลังจากนั้นก็คือประวัติศาสตร์”
จากคำสัมภาษณ์จะเห็นได้ว่า ชัยชนะของสคูลลิ่งไม่ได้มาจากความฟลุก แต่คือความมั่นใจที่เขาพกมาอย่างเต็มเปี่ยมว่าต้องสร้างประวัติศาสตร์ได้แน่ๆ
คำถามก็คืออะไรทำให้เขามั่นใจมากขนาดนั้น?
อะไรทำให้เด็กหนุ่มจากชาติเล็กๆ ที่ไม่เคยเก่งกีฬา คว้าเหรียญทองแซงหน้ามหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาได้?
อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของสคูลลิ่ง?
1.ครอบครัวต้องสนับสนุน
สคูลลิ่งเป็นชาวสิงคโปร์เจเนอเรชั่นที่สาม พี่ชายของปู่ของเขา Lloyd Valberg เคยเป็นนักกีฬาชาวสิงคโปร์คนแรกที่ได้เข้ารวมการแข่งขันโอลิมปิกในปี 1948
ในวัย 6 ขวบ เด็กชายสคูลลิ่งพูดคุยกับพี่ชายของปู่แล้วจึงเกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไปแข่งโอลิมปิกบ้าง เขาจึงเริ่มฝึกว่ายน้ำนับแต่นั้น
จนเมื่ออายุได้ 9 ปี ฝีพายการว่ายน้ำของเขาก็ไปไกลกว่าเพื่อนร่วมเดียวกัน และโดดเด่นเป็นอย่างมาก พ่อแม่ของเขาจึงตัดสินใจส่งเขาไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา
โรงเรียนที่พ่อแม่เขาส่งไปนั้นคือ Bolles School ในรัฐฟลอริดา ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกีฬาว่ายน้ำเป็นอย่างมาก หลังจากจบไฮสคูลเขาก็ศึกษาต่อที่ University of Texas ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีโปรแกรมการสอนกีฬาว่ายน้ำที่เก่งที่สุดในโลก เพราะมี Eddie Reese นักกีฬาเจ้าเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยเป็นเฮดโค้ชอยู่
การได้ไปฝึกซ้อมที่ต่างแดนทำให้ทักษะการว่ายน้ำของเขาพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก
เมื่อมีนักข่าวไปถามว่า อะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของเหรียญทองโอลิมปิกนี้ เขาตอบอย่างรวดเร็วว่าคือ พ่อแม่
“ผมเป็นหนี้พวกเขาตลอดกาล พ่อและแม่เสียสละมากเหลือเกินเพื่อทำให้ผมมาถึงตรงนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำมันบ้ามาก ผมไม่อยากจะลงรายละเอียดสักเท่าไร แต่บอกได้เลยว่าถ้าคุณไปถามพ่อแม่คนอื่นๆ ผมคิดว่าพวกเขาจะไม่ได้ทุ่มเทเท่ากับพ่อแม่ผม”
“ผมโชคดีมากที่เกิดมามีพ่อแม่แบบพวกเขา”
2.อยู่ท่ามกลางคนเก่ง
ไม่ใช่แค่พ่อแม่สนับสนุนเท่านั้น อีกเหตุผลที่สคูลลิ่งเผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จคือ การอยู่ท่ามกลางคนเก่ง
ทีมว่ายน้ำใน University of Texas ที่ฝึกสอนโดยนักว่ายน้ำชาวสหรัฐ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย ถือเป็นหนึ่งในทีมว่ายน้ำที่ดีที่สุดในโลก นักกีฬาแต่ละคนเรียกได้ว่าคือดาวรุ่งอันดับต้นๆ ของโลกแทบทั้งนั้น
“พวกเราคือทีมที่ดีที่สุดในโลกครับ” สคูลลิ่งย้ำ
“เราชนะทุกคนในแทบทุกการแข่งขัน และเราก็ฝึกกันโคตรหนัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพ่อแม่ถึงต้องส่งผมมาเรียนที่นี่ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ผมอยากเรียนที่นี่”
“ถ้าคุณอยากเป็นคนที่เก่งที่สุด…คุณต้องอยู่ท่ามกลางทีมที่เก่งที่สุดด้วย”