‘โคกทะโลก’ บันดาล ‘มหาบุรุษอวตาร’!/อัญเจียแขฺมร์ อภิญญา ตะวันออก

อภิญญา ตะวันออก

อัญเจียแขฺมร์

อภิญญา ตะวันออก

 

‘โคกทะโลก’ บันดาล ‘มหาบุรุษอวตาร’!

 

ขวบปีที่ผ่านมา ทำเอาผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียนพาเหรดอัพเกรดกันรัวๆ ส่วนในรายที่ชัดมาก คือสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา

แต่ที่ร่วงหนักเหมือนคริปโตฯ ก็มีนะ ของแบบนี้มันอยู่ที่ประสบการณ์ การสร้างโอกาสและปรับตัว ที่จริงก็ไม่ยาก กรณีฮุนเซนโมเดล ภาษากายของการประชุมซัมมิตทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์ในรอบปีที่ผ่านมา หากใครจะก๊อบปี้สำเนาคงไม่ยาก แค่ฉวยโอกาสและรุกฆาต

อย่างที่เห็นว่า ตั้งแต่รัฐประหารเมียนมาจนถึงสงครามยูเครน ผู้นำกัมพูชาไม่เพียงแต่ใช้โอกาสนี้ทำหน้าที่ตามตำแหน่งประธานอาเซียน แต่ยังผลิตภาพลักษณ์ของผู้นำสมัยใหม่ที่เปี่ยมด้วยยุทธศาสตร์และจริยธรรม ให้พอจินตนาการว่า เขาเป็นนักการเมืองแถวหน้าที่มีแนวคิดสากล

ตั้งแต่ลงไปช่วยมิน อ่อง ลายในคราบนักสันติภาพ เปลี่ยนภาพลักษณ์จากนักทำลายสิทธิมนุษยชนในหลายรอบทศวรรษอย่างหมดจดงดงามเพียงชั่วครึ่งปี!

แต่พอกลางเทอมรัสเซียบุกยูเครนเท่านั้น ความจัดเจนฉบับฮุนก็มักขึ้นด้วยการสร้างเกมสมดุลระหว่างตน-สหรัฐและจีน สมฉายา “จิ้งจอกสองหน้า” ที่เคยได้มาเต็มๆ สมัยเป็นนักการทูตหนุ่มยุค ’80 แต่เคี่ยวกรำตามเวลาเมื่ออาศัยจังหวะนี้ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น

ตั้งแต่คลายล็อกยืดหยุ่นความสัมพันธ์กับสหรัฐคราวประชุมอาเซียน-สหรัฐที่จัดเจนมาก

โอ และนั่น ช่างเบรวิเยร์ ในบุคลิกแบบ “ล่วงล้ำนำเส้นแบ่ง” ในความเห็นของฉัน นั่นคือคำตอบว่า ทำไมระบอบฮุน เซนจึง “ยืดหยุ่น” กับ “แข็งกร้าว” สลับไปมาในทุกจังหวะสำคัญของการใช้อำนาจ

ตั้งแต่เปิดศึกรอบใหม่กับสหรัฐเรื่องให้จีนยกระดับฐานทัพเรือเรียม

จากนั้นก็แวะไปร่วมประชุมทางไกลกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ : BRICS ที่มีสี จิ้นผิงเป็นเจ้าภาพ เจ้าจึงได้เห็นปูตินบนจอซูมร่วมกับฮุน เซนเป็นไฮไลต์กว่าผู้นำอาเซียนอีกหลายนายที่เข้าร่วม (แต่ไม่ค่อยอยากจะเปิดหน้า)

แต่ฮุน เซนดูจะชอบ BRICS และให้ความสำคัญ ดังนั้น ภาษากายของเขาต่างหากที่ต่างชั้นกับผู้นำคนอื่น รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา!

เรื่องแบบนี้ ฉันเห็นว่าสนุกดี บนท่าทีอีหลักอีเหลื่อแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของประเทศเล็กๆ แต่ที่ฉันเคืองสุดๆ คือการที่สื่อไทยแทบไม่ตีข่าวเรื่องนี้เลย? ราวกับไม่ให้เกียรติผู้นำของตน ทั้งที่ขยันทำข่าวยูเครนได้ทุกวัน แต่กลับมองข้าม BRICS ที่มีปูตินเข้าร่วมสปีชด้วย

นี่ไม่ใช่อะไรที่สื่อไทยควรมองข้าม ขณะที่กัมพูชากลับเสนอข่าวโอฬารริก และฮุน เซนยังขโมยซีนตลอดทุกแพลตฟอร์มการประชุม

ในขณะสุขภาพโรยรา แต่สมเด็จเขมรช่างมีภาษากายที่โดดเด่นและรักษาภาพลักษณ์อิริยาบถได้ดี ซึ่งท่าทีแบบนี้มีนัยยะสำคัญต่อนโยบายตะวันตกของ G 7 ที่กำลังประชุมกันและสหรัฐประกาศนโยบายให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานราวสองแสนล้านเหรียญสหรัฐแก่ประเทศยากจน และประเทศพัฒนาระยะกลาง

ประกาศว่า สหรัฐยอมแพ้หันมาใช้ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ของจีนเป็นโมเดล แต่ประเทศไหนล่ะที่ให้บทเรียนแก่อเมริกามากที่สุดในภูมิภาคนี้ ถ้าไม่ใช่กัมพูชา!

สหรัฐเองคงรู้ว่า พูดภาษาเดียวกับเขมรไม่ได้ แต่ส่งฝ่ายกลาโหมของญี่ปุ่นเดินหน้าในเรื่องนี้ ซึ่งการช่วงชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร กัมพูชายังเป็นตัวเปลี่ยนเกม ที่เล่นแร่แปรประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อไป!

จุดหมายปลายทางคือสมดุลระหว่างจีน-สหรัฐ ใครจักเอื้อมากต่อระบอบของตนเอง?

แต่ที่มั่นและเหนือกว่า “จิ้งจอกปีมุข” (สองหน้า) คือยุทธศาสตร์สร้าง “บัลลังก์เสือ” อย่างน่าตกตะลึง นั่นคือการหยิบเอาวันที่ 20 มิถุนายน 1977 มาเป็นเครื่องมือ

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใดๆ ที่สมเด็จฮุน เซนทำไป โดยเขาได้สถาปนาวันชาติเขมรขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องราวของตน แบบเดียวกับที่กษัตริย์นโรดม สีหนุเคยทำไว้สมัยเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส/1953 และนำมาซึ่งการก่อสร้างอนุสรณ์สถานสำคัญใจกลางนคร ในนาม “วิมานเอกราช”

ดังนั้น ในปีนี้ ที่ครบรอบ 45 ปีพอดีของระบอบสมเด็จที่มาถึงจุดสูงสุดแห่งอำนาจ น ได้สถาปนาอนุสรณ์สถานแห่งความสำเร็จของระบอบฮุนเซนต่อการเลือกเอา 20 มิถุนา (ไม่มี “ยน” ต่อท้ายในภาษาเขมร) ให้ถือเป็น “วันปลดแอกแห่งชาติ!”

เรื่องนี้มีที่มาเมื่อ 45 ปีก่อน ตรงกับวันที่ 20 มิถุนา 1977 สหายเสน (ฮุน เซน) ตำแหน่งกรรมาภิบาลเขมรแดงฝ่ายกองกำลังเขตกำปงจาม หลังจากสังหารหัวหน้าหน่วยของตนแล้ว เสนและพวกอีก 5 นายได้หนีไปชายแดนฝั่งตะวันออกที่ติดกับเวียดนามตรงจุดที่เรียกว่า “แม่มด” ของจังหวัดกระแจะ

ฮุน เซนและพวกถูกจับกุมที่นั่น เขาถูกไต่สวนเป็นแรมเดือนกระทั่ง ผบ.ระดับสูงนายพลคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้เดินทางมาเยี่ยม แต่นั้นมา ชีวิตของสหายเสนก็เปลี่ยนไป เขาถูกจับตามองในตำแหน่งสำคัญของกองทัพประชาชนซึ่งมีแปน โสวัน ก่อตั้งมาก่อนหน้าหวังปลดแอกกัมพูชา

45 ปีผ่านไป ศัตรูและมิตรสหายเสนหลายคนต่างล้มตาย แต่ใครเลยจะคิดว่า ฮุน เซนทหารกะหร่องผอมบางคนนั้นจะกลายเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพปลดแอกและถือเอาวันที่เขาภักดีเวียดนามมาสถาปนาเป็นวันปลดแอกเพื่อชาติประชาชน และระบอบของตน

นี่คือ การเขียนประวัติศาสตร์ฉบับใหม่ สำหรับสหายเสน สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซนแห่งกัมพูชา ภาพใต้แบบจำลองในสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับอนุสาวรีย์วิเมียนเอกเรียดกรุงพนมเปญ สมเด็จฮุน เซนได้ประดิษฐานเทวรูปองค์หนึ่งไว้ที่อนุสาวรีย์แห่งนั้น

และเขาเรียกเทวรูปปางนี้ว่า “โคกทะโลก”!

นับเป็นความเกรียงไกรแห่งแนวชายแดนที่คราวนี้ฮุน เซนได้ก่อสร้างนิมิตรูป/สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของตนไว้อย่างยิ่งใหญ่ ไม่ต่างจากที่คณะของตนได้ลงมือสร้าง “องค์พระปรางค์เจดีย์” ซึ่งใต้ฐานขององค์เป็นที่บรรจุศพไว้แล้วล่วงหน้า!

สมเด็จฮุน เซนช่างเป็นผู้สร้างที่ “มองการณ์ไกล” ในทุกสถานะ อย่างที่ไม่เคยมีผู้นำเขมรคนใดเคยทำได้ในขณะที่ยังมีชีวิต ซึ่งนั่นเทียบเท่ากับพระมหากษัตริย์สีหนุผู้ได้รับสมัญญานามว่าพระบิดาผู้นำสันติภาพมาสู่ประเทศ

และสมเด็จฮุน เซนแห่งยุคนี้ ก็เช่นกัน ในวัย 24 ปีของปี 1977 ที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้เสียสละชีวิตเพื่อนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชาติเขมร คือวันที่ 20 มิถุนา

ณ บริเวณที่ตั้งชื่อใหม่ว่า “เนียะเมียนจัย” (ผู้มีชัย) แห่งนี้ ยังถูกสร้างขึ้นใหม่คล้ายกับอาณาจักรเก่าแก่ด้วยสถาปัตยกรรมสมัยโบราณ นัยว่าเพื่อให้เข้ากับเนินเกาะอันเก่าแก่แต่อดีตที่เต็มไปด้วยต้นหมัน/ทะโลก และบริเวณแห่งนั้นที่กลายเป็นยุคสร้างเผ่าพันธุ์กัมปูเจีย

ในเวอร์ชั่นใหม่ อนุสรณ์สถาน “โคกทะโลก” ของสมเด็จฮุน เซน!

เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบสูงสุดในการจารึกอนุสรณ์สถานแห่งนั้น ฯพณฯ ฝั่ม มิญจิญ นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐเวียดนามในฐานะตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์ที่ร่วมก่อตั้งกองทัพปลดแอกแห่งชาติเขมรจึงได้เข้าร่วมพิธีสมโภชอย่างโอฬารริก

อันมีนัยยะว่า ผู้ร่วมสร้างความสำเร็จแห่งชัยชนะและความเป็น “ภาคี” ที่ยิ่งใหญ่ร่วมกันอย่างชื่นมื่น

และสิ้นเชิงที่ลบล้างข้อครหาความตึงเครียดใดๆ บริเวณอ่าวเรียมก่อนหน้านี้ ที่จีนเข้าไปดำเนินการสร้างฐานทัพเรือ

และเป็นคำตอบว่า เวียดนามได้ “มูฟออน” ตนเองจากกัมพูชานานแล้ว ซ้ำยังยกระดับเชิงทูตที่เท่าเทียม มิใช่ชาติในอาณัติเยี่ยงในอดีต

ท่าทีให้เกียรติกันและกันระหว่างกัน เช่น การไปเยือนฮานอยเพื่อเคารพศพนายพลผู้ใกล้ชิดคนสุดท้ายที่ถึงแก่อนิจกรรมครั้งล่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นกว่าครั้งใดที่ผ่านมา

หรือนี่คือ ข้อบรรลุอันสำเร็จแห่งเป้าหมายทางการเมือง ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา ที่ฮุน เซนถูกกล่าวหามาตลอดว่าเป็นหุ่นเชิด “อายอง” ของเวียดนามอย่างไม่อาจลบเลือนได้สำหรับฝ่ายที่ต่อต้าน

แต่บัดนี้ พลันเมื่อภาพอนุสาวรีย์แห่งการรำลึกกองทัพปลดแอกชาติ ได้ยืนตระหง่าน ณ พรมแดนเขมร-เวียดนาม ก็มีคำถามทบทวีต่อระบอบฮุน เซนที่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ว่า…นี่คือฝ่ายผู้ชนะและมีสิทธิ์จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่

มันคือสัจจะอันปวดร้าวของฝ่ายหลังที่ต้องสงบยอมต่อความแพ้พ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อระบอบฮุน เซนที่ยิ่งใหญ่ จนสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าตนเองได้กว่าทุกยุคที่ผ่านมาเทียบเท่ากับ…”ฮุน เซนมหาราช”

แห่ง “เกาะโคกทะโลก”