จรัญ มะลูลีม : การชนกันของสองยักษ์ใหญ่ในตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน (1)

จรัญ มะลูลีม

อิหร่าน (สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน) ซาอุดีอาระเบีย (ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย) เป็นสองประเทศของเอเชียตะวันตกหรือตะวันออกกลางที่มีความสำคัญมากที่สุด

ฝ่ายแรก เป็นประเทศผู้นำของสำนักคิดชีอะฮ์อิสลาม (Shi”ah Islam)

ส่วนฝ่ายหลัง เป็นหัวหอกของสำนักคิดซุนนีอิสลาม (Sunni Islam)

สองประเทศนี้เป็นศูนย์รวมของประชากรมุสลิม โดยภาพรวมแล้วทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์และความขัดแย้งต่อกันเป็นช่วงๆ จนถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ทางการทูตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปัญหาว่าด้วยการแข่งอำนาจและการใช้ศาสนาหรือสำนักคิดมาเป็นข้ออ้างทางการเมือง

ด้วยเหตุนี้แทนที่สองประเทศยักษ์ใหญ่ของตะวันออกกลางซึ่งเป็นสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ด้วยกันทั้งคู่จะเดินไปด้วยกัน แต่กลายเป็นว่าทั้งสองประเทศมักจะมีความสัมพันธ์ต่อกันที่ไม่ค่อยจะแน่นอนมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา

ทั้งสองประเทศถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีอำนาจอยู่ในภูมิภาคและมีศักยภาพเพียงพอที่จะมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคตะวันออกกลาง

ดังได้กล่าวมาแล้ว ความสัมพันธ์ของสองประเทศมิได้เป็นไปอย่างราบรื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าด้วยสำนักคิด (School of thoughts) ที่ถูกดึงมาสนับสนุนกลุ่มก้อนของตนเอง

แม้ว่าในความเป็นจริงเรื่องของสำนักคิดส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ

ตัวอย่างเช่น อดีตประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ของอิรักก็เป็นผู้ถือสำนักคิดซุนนี และอยู่ในอำนาจในประเทศที่คนส่วนใหญ่ (ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60) เป็นชีอะฮ์อย่างยาวนาน

ในทำนองเดียวกัน ประธานาธิบดี ฮาฟิซ อัล-อะสัด บิดาของผู้นำปัจจุบันของซีเรีย บาชัร อัล-อะสัด ซึ่งเป็นชีอะฮ์สายนอกรีต (Red Shi”ism) ก็อยู่ในอำนาจท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวซุนนีมายาวนานเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้นำคนปัจจุบันของซีเรียซึ่งโดยอาชีพเป็นหมอมาก่อน ก็มีภรรยาที่ชื่อสัลมาที่ยังคงดำรงความเป็นซุนนีมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ในบางช่วงประเด็นของสำนักคิดจะขึ้นมาแทรกเรื่องทางการเมืองของซาอุดีอาระเบียและอิหร่านอยู่เสมอๆ

ความแตกต่างระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียยังมีเรื่องของบทบาททางการเมืองในพื้นที่และในชุมชนระหว่างประเทศรวมอยู่ด้วย

หากกล่าวถึงการเมืองระหว่างประเทศของซาอุดีอาระเบียก็จะพบความจริงข้อหนึ่งที่ยังคงดำรงอยู่ได้แก่การเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความไม่ลงรอยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามในปี 1979 (Islamic Revolution of 1979)

ประเทศซาอุดีอาระเบียถูกปกครองโดยกษัตริย์ซึ่งขึ้นมาสู่อำนาจด้วยการใช้ชื่อของพระองค์เองมาตั้งเป็นประเทศ

ทั้งนี้ อิบนุสะอูด (Ibn Saud) ได้ร่วมก่อตั้งประเทศนี้กับนักการศาสนามุฮัมมัด บินอับดุลวาฮ้าบ หรือที่ประเทศตะวันตกเรียกแนวคิดทางศาสนาของชายผู้นี้ว่าวาฮะบี (Wahhabi) อันเป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากสำนักคิดหนึ่งที่สำคัญของสายซุนนีที่เรียกกันว่าฮัมบาลี (Hanbali) โดยเน้นไปที่อิสลามบริสุทธิ์ ตามแนวทางที่แท้จริงของศาสดามุฮัมมัด ชื่อที่แท้จริงของสำนักคิดวาฮะบีคือมุวาฮิดุน (Muwahidun) ซึ่งเน้นเอกภาพของพระเจ้าเป็นด้านหลัก

ในซาอุดีอาระเบียร้อยละ 90 ของประชากรถือสำนักคิดซุนนี

ส่วนสำนักคิดชีอะฮ์จะมีผู้ถือตามอยู่ในดินแดนทางตะวันออกที่เรียกกันว่าฮาซา ทั้งนี้ มีชาวชีอะฮ์อยู่ครึ่งล้านคน

โดยประชากรชีอะฮ์ทั้งโลกมีอยู่ทั้งสิ้นราว 140 ล้านคน การสร้างประเด็นซุนนี-ชีอะฮ์ที่เกิดขึ้นหลังการจากไปของศาสดาท่านสุดท้ายของอิสลามคือศาสดามุฮัมมัดขึ้นมาในทางการเมืองจึงมีทั้งสำเร็จและล้มเหลว

นักวิชาการส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีคนมุสลิมเป็นคนส่วนน้อยที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างอินเดีย มักไม่ถือเอาประเด็นซุนนี ชีอะฮ์มาเป็นความขัดแย้ง และเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่สามารถทำความเข้าใจกันได้

ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับสองของประเทศ อย่างเช่น Aligarh Muslim University ที่เป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาลจึงได้เปิดให้นักศึกษาสามารถเรียนวิชาศาสนวิทยาสาขาซุนนี (Sunni Theology) และสาขาชีอะฮ์ (Shi”a Theology) ได้จนถึงปริญญาเอก

โดยไม่มีความขัดแย้งต่อกันให้เห็นแม้แต่น้อย

ที่มาภาพ : zerohedge.com

ในทางประวัติศาสตร์ประชากรในคาบสมุทรอาหรับเป็นพวกเร่ร่อนทางทะเลทราย (Desert nomads) หรือเบดูอิน (Bedouin)

อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 7 อิสลามได้ขยายตัวออกไปทั่วคาบสมุทรอาหรับพร้อมกับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้เร่ร่อนชาวทะเลทราย มาเป็นผู้เชื่อในศาสนาอิสลามนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ดังได้กล่าวมาแล้วแนวคิดวะฮาบี (Wahhabism) เป็นชื่อที่ได้มาจากนักการศาสนาและนักเผยแพร่ มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮ้าบ (Muhammad ibn Abd al-Wahhab) ซึ่งถือว่ากลุ่มก้อนของพวกเขาคือขบวนการฟื้นฟูอิสลามบริสุทธิ์ที่ยึดถือพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว (Pure monotheistic worship) ไม่มีภาคีใดๆ มาเกี่ยวข้องกับพระองค์ซึ่งเป็นไปตามคำสอนของศาสดามุฮัมมัด ศาสดาท่านสุดท้ายของอิสลาม

หลังการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามปี 1979 ซาอุดีอาระเบียวิพากษ์การปฏิวัติของ อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนี ว่าเป็นการปฏิวัติตามแนวชีอะฮ์ (Shi”ah Revolution)

นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังไปยืนอยู่ข้างอิรักในสงคราม 8 ปี อิรัก-อิหร่าน (Iran-Iraq War 1980-1988) อันเป็นสงครามที่ 26 ประเทศรวมทั้งสหรัฐ รัสเซีย และประเทศอาหรับยืนหยัดอยู่ข้างอิรัก แต่ก็เอาชนะอิหร่านไม่ได้

สงครามจบลงจากการไกล่เกลี่ยของผู้นำคนสำคัญของโลกหลายคน โดยแต่ละฝ่ายเสียชีวิตทหารของตนไปฝ่ายละสามแสนคน ส่วนที่เหลืออีกสี่แสนคนเป็นความตายของพลเรือน รวมผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นราวหนึ่งล้านคน

ในเวลานั้นโลกอาหรับโดยเฉพาะรัฐกษัตริย์ทั้งหลายที่ร่ำรวยน้ำมันและอยู่ร่วมกันภายใต้สภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย (Gulf Cooperation Council) ได้แก่ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย โอมาน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน ต่างก็หวาดกลัวการปฏิวัติส่งออก (Export of Revolution) ของอิหร่านโดยมองว่าการปฏิวัติดังกล่าวเป็นการคุกคามโลกอาหรับที่นำโดย อายะตุลลอฮ์ โคมัยนี

อาณาจักรเปอร์เชีย (Persian Empire) หรืออิหร่านในปัจจุบันมีส่วนสำคัญต่อความรุ่งเรืองในอดีต ทั้งนี้ อาณาจักรเปอร์เชียมีส่วนอย่างมากในการพัฒนาอารยธรรมและความเจริญก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม และเป็นต้นแบบของภาษาอินโดยุโรป (Indo-European languages) ปฏิทิน วรรณกรรมเปอร์เชีย วัฒนธรรม การปกครอง แอลกอฮอล์ เครื่องดนตรี ฯลฯ ล้วนมาจากอาณาจักรเปอร์เซียทั้งสิ้น

ก่อนการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 อิหร่านถูกปกครองโดยราชวงศ์ปาลาวี (Pahlavi dynasty) ระหว่างปี 1925-1979 ในช่วงการปกครองของราชวงศ์นี้พบว่าชัยชนะของความเป็นชาตินิยมอยู่เหนือศาสนา

ในช่วงนั้นความเป็นชาตินิยมของชาวอิหร่าน (Iranian nationalism) ต้องใช้ความเป็นโลกนิยมอย่างมากและขัดขวางลักษณะของความเป็นอิสลาม ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นระหว่างผู้นิยมศาสนาอิสลามและความเป็นชาตินิยมของอิหร่านในที่สุด