ณ เบื้องหน้า โฉมงาม มี ความแคลงคลาง กังขา จาก ‘เซี่ยวลี้ปวยตอ’/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

ณ เบื้องหน้า โฉมงาม

มี ความแคลงคลาง กังขา

จาก ‘เซี่ยวลี้ปวยตอ’

 

พลันที่พบกับ “ศิษย์คนโต” ของอสูรเขียว อีเข่า ภายในความครุ่นคิดของลี้คิมฮวงกลายเป็นเครื่องหมาย “คำถาม” ขึ้นมา

“ท่านเมื่อรู้จักข้าพเจ้า ไฉนคิดฆ่าข้าพเจ้า”

ตามมาด้วยอีกคำถาม “หรือต้องการฆ่าปิดปากข้าพเจ้า แต่ต่อให้ท่านมายังที่นี้เพื่อนัดพบพลอดรักกับผู้อื่นก็มิใช่เรื่องอับอายขายหน้าอันใด”

และเมื่อพบ “อาการ” อยากกล่าวแต่มิอาจกล่าว มันก็ยิ่งกังขา

“ข้าพเจ้าทราบว่าท่านต้องมีความลับอันใดไม่ต้องการให้ผู้คนล่วงรู้ ดังนั้น คิดฆ่าปิดปากข้าพเจ้าโดยไม่จำแนกความผิดถูก ตอนนั้นเกรงว่าท่านคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายที่คิดฆ่า คือข้าพเจ้า

ท่านคิดฆ่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงฆ่าท่าน ท่านเลือกเป้าหมายผิด ข้าพเจ้าก็เลือกคนผิด”

เรื่องราวที่เคยประสบ ณ เรือนแรมเล็กในราวป่า เรื่องราวที่รับรู้ระหว่างรอคอยยาถอนพิษ ณ งู้เกจึง จึงค่อยเรียงแถวกันเข้ามา

“เมื่อคืนก่อนเป็นบุตรของฉิ้งเฮ่างี้ คืนนี้เป็นศิษย์ของอสูรเขียว อีเข่า ดูท่าลิ่มเซียนยี้นางนี้มีเวลาว่างไม่มากนัก สายตาก็ไม่เลว คนที่นัดพบล้วนเป็นบุตรหลานทายาทของยอดฝีมือ แต่ดรุณีนางใดเล่าที่ไม่ถวิลรัก บุรุษใดที่ไม่มากรัก

นี่มิใช่เรื่องผิดกฎหมายอันใด ท่านไฉนกลัวถูกผู้คนพบเห็น หรือเรื่องนี้ยังมีความลับอันใด”

 

ยิ่งลงลึกเข้าไปในแต่ละรายละเอียดเมื่อเผชิญประสบกับเพลงกระบี่อันรวดเร็วและมากด้วยพลังในวินาทีอันแหลมคมนั้นเองเล้งโซ่วฮุ้นก็ปรากฏเงาร่างขึ้น ความสงสัย กังขายิ่งพอกพูนเข้ามา

เมื่อบุรุษหนุ่มชุดแพรคล้ายนกเค้าแมวตัวหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “นอกดงเหมยมีคนตายผู้หนึ่ง ข้าพเจ้ายังเข้าใจว่าโจรดอกเหมยต้องอยู่ในดงไม้”

“ท่านไฉนไม่ยึดถือคนตายเป็นโจรดอกเหมย” เป็นคำถามจากลี้คิมฮวง

คำถามนี้ลี้คิมฮวงหารู้ไม่ว่า ภายหลังต่อมากลับกลายเป็นประเด็น กลับกลายเป็นวาระ กลับกลายเป็นปมในลักษณะที่เรียกว่า “หอกสนองคืน”

เนื่องจากความสนใจของลี้คิมฮวงไปอยู่กับเพลงกระบี่ ไปอยู่ที่หัวหน้าหมู่ตึกคนเล็กแซ่อิ้ว (อิ้วเล้งเซ็ง อิ้วเซี่ยวจึงจู้) เนื่องจากมันเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของจอมกระบี่แห่งยุค

“พญาเหยี่ยวหิมะ” (เซาะเอ็งจื้อ) แห่งภูเขาเทียนซัว

สภาพจึงกลายเป็นว่า ไม่ว่า 1 บุตรของฉิ้งเฮ่างี้ ไม่ว่า 1 ศิษย์คนโตของอสูรเขียว อีเข่า ไม่ว่า 1 ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของพญาเหยี่ยวหิมะแห่งภูเขาเทียนซัว

ล้วนเป็นไปตามบทสรุป นั่นก็คือ ล้วนเป็น “ทายาทของตระกูลใหญ่”

 

จากนั้นก็เป็นการปรากฏกายของบุคคลสำคัญ นั่นก็คือ “หน้าเหล็กไม่ลำเอียง” (ทิมิ่นบ้อซือ) เตี่ยเจี่ยหงี (คุณธรรมเที่ยงแท้แซ่เตี่ย) พร้อมกับคำถาม “คนที่เบื้องนอกถูกผู้ใดฆ่าทิ้ง”

ผู้ที่มาเป็นคนซึ่งมีโหนกแก้มนูนสูง เค้าใบหน้าน่าเกรงขาม เคราขาวดอกเลาไม่ดกหนา เผยให้เห็นปากกว้าง

มุมปากตกห้อย เน้นให้เห็นถึงอำนาจประจำตัว

มันผู้นี้มาพร้อมกับบทนิยามอันทรงพลังยิ่งในทางความคิดต่อตัวตนและการดำรงอยู่ของลี้คิมฮวง

“ไม่ว่าท่านไปถึงที่ใดล้วนมาซึ่งกลิ่นคาวเลือด”

คำถามแต่ละคำถามอันมาจากเตี่ยเจี่ยหงีคมเฉียบอย่างยิ่ง สามารถสร้างประเด็น จุดชนวนแห่งความแคลงคลาง กังขา

เริ่มจาก “ท่านทราบหรือไม่ว่ามันเป็นใคร ตามด้วยประโยค “ท่านเมื่อไม่ทราบว่ามันเป็นโจรดอกเหมย ไฉนยังลงมือด้วยอำมหิต” ตามด้วยความไม่แน่ใจ “มันคิดฆ่าท่านก่อนรึ”

แล้วจึงทะลวงไปยัง “อยู่ดีๆ มันไฉนคิดฆ่าท่าน”

อันนำไปสู่ความชอบธรรมในการตั้งคำถามตามมา “ท่านไฉนไม่ละเว้นชีวิตมันไว้เพื่อสอบปากคำ”

แล้วก็ถึงเป้าหมายสำคัญ “ท่านเมื่อออกจากด่านไป ไฉนยังย้อนกลับมา”

 

ในแต่ละถ้อยคำซึ่งเป็นคำถามและคำตอบเหมือนกับว่าลี้คิมฮวงจะคาดหมายอยู่แล้วว่าในที่สุดก็จะมาตรึงแน่นอยู่ที่ความสงสัยนี้

คำตอบของลี้คิมฮวงจึงคล้ายกับเป็นทีเล่นทีจริง

“ทั้งนี้ เพราะข้าพเจ้าคิดถึง “เตี่ยตั้วเอี้ย” (นายใหญ่แซ่เตี่ย) ยิ่งอดคิดย้อนกลับมาชมดูมิได้”

ได้ยินดังนั้นเตี่ยเจี่ยหงีขุ่นแค้นจนหน้าเหลืองซีด ชี้หน้าเล้งโซ่วฮุ้นพลางกล่าว “ประเสริฐ ประเสริฐ นี่เป็นเภทภัยที่น้องอันประเสริฐของท่านก่อขึ้น ผู้อื่นไม่ขอเกี่ยวข้อง”

ทำไมมันจึง “สรุป” ออกมาเช่นนี้

“พวกเรารับมือโจรดอกเหมยคนเดียวก็ปวดเศียรเวียนเกล้ามากแล้ว ตอนนี้ยังเพิ่มอสูรเขียวอีเข่าอีกคนหนึ่ง ยังมีผู้ใดทนทานรับได้”

นั่นย่อมเป็นความจริง

ถึงแม้หากหัตถ์อสูรเขียว อีเข่า จะมาชำระล้างความแค้น เป้าก็มิใช่เตี่ยเจี่ยหงี เป้าก็มิใช่เล้งโซ่วฮุ้น หากแต่เป็นลี้คิมฮวงต่างหาก

หรือเพราะว่ามันคือ หน้าเหล็กไม่ลำเอียง หรือเพราะว่ามันคือ คุณธรรมเที่ยงแท้แซ่เตี่ย

 

คล้อยหลังการจากไปของเตี่ยเจี่ยหงีด้วยความโกรธเกรี้ยว เล้งโซ่วฮุ้นก็ชักนำลี้คิมฮวงให้หวนคืนไปยังตึกหอมเย็นอันเคยเป็นที่พำนักเก่าก่อนของมัน

ขณะครุ่นคิดกับเก้าอี้ไม้จันทน์เก่าแก่พร้อมกับคำรำพึง “ชราแล้ว ชราแล้ว”

พลันได้ยินสุ้มเสียงหนึ่งหัวร่อเบาๆ “ผู้ใดว่าท่านชราแล้ว”

คนยังอยู่นอกหน้าต่างแต่เสียงหัวร่อก่อเกิดความอบอุ่นแก่ภายในห้อง ตัวนางแม้ยังไม่เข้ามากลับชักนำวสันตฤดูเข้ามา

เสียงหัวร่อยังเป็นเช่นนี้ รูปโฉมโนมพรรณของนางนับเป็นที่คาดคำนวณได้

ลี้ชิ้มฮัวกระจ่างจ้าขึ้นมา แต่เพียงมองดูประตูบานนั้นอย่างสงบ ทั้งไม่ได้ลุกขึ้นและทั้งไม่ได้กล่าวว่าอะไร

ในที่สุด ลิ้มเซียนยี้เดินเข้ามาแล้ว

นัยน์ตาของชาวยุทธจักรหาได้บอดไม่ นางนับว่าเป็นโฉมสะคราญในแดนดินจริงๆ แต่หากมีคนใช้บุปผาเปรียบเปรยนามก็ออกจะหยามหยันนางเกินไป

ในโลกยังมีบุปผาพันธุ์ใดเล่าที่รัดรึงใจผู้คนเท่านาง

 

เท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะมองผ่านลี้คิมฮวง (สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง) ไม่ว่าจะมองผ่านลี้ชิ้มฮัว (สำนวนแปล น.นพรัตน์)

ก็ถึงคราต้องบังเกิด “นัยประหวัด”

ตลอดร่างของนาง ไม่มีส่วนใดที่มิดึงดูดจิตใจผู้คนจนลุ่มหลงงมงาย แต่ที่กระสันรัญจวนสุดยังคงเป็นดวงตาของนาง ไม่มีบุรุษเพศคนใดสามารถต่อต้านกับดวงตาทั้งสองของนางนี้ได้

เป็นดวงตาที่สามารถบันดาลให้คนก่อกรรมทำผิดได้

แต่ทีท่าของนางกลับสนิทสนมกระไรปานนั้น องอาจสง่ากระไรปานนั้น ไม่มีสักน้อยนิดที่จะให้คนเกิดความคิดไปก่อกรรมทำผิด

ดูแล้วคล้ายดั่งเป็นทารกที่นุ่มนวลที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด

แต่มิว่านางดูแลจะคล้ายกระไร ต่างไม่มีปัญญาเปลี่ยนความทรงจำที่ลี้คิมฮวงมีต่อนางได้ เนื่องเพราะลี้คิมฮวงมิใช่พบนางเป็นครั้งแรก นั่นคือตอนอยู่ในห้องครัวของร้านสุรานั้น

อยู่ข้างศพเซี้ยงมุ้ยฮูหยิน ลี้คิมฮวงก็เคยได้รับทราบความนุ่มนวลของนาง ความบริสุทธิ์ของนางมาแล้ว แต่ลี้คิมฮวงกลับคล้ายยากจะยอมเชื่อถือสตรีที่เบื้องหน้านางนี้คือ โฉมสะคราญลึกลับที่วันนั้นจงใจแลกเปลี่ยนกิมซีกะให้ได้

เพราะสีหน้าท่าทีของนางตอนนี้ คล้ายเป็นคนละคนกับวันนั้น

 

เป็นอันว่าโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ลิ่มเซียนยี้ ไม่เพียงแต่เจ้ม่วยร่วมสาบานอยู่กับลิ่มซีอิม เหมือนกับที่ตี๋ม่วย เล้งโซ่วฮุ้น ลี้คิมฮวง

หากแต่ยังเข้ามาอยู่ในตึกหอมเย็นอันเคยเป็นเรือนพักของมัน

ความสงสัยที่ “คนชุดเขียว” ยืนยันในการนำเอาหัตถ์อสูรเขียว และกระบี่ไส้ปลา อันมากด้วยตำนานแลกกับกิมซีกะก็เริ่มมีคำตอบ

คำตอบนี้เองที่แม้จะกระจ่างแต่กลับลากดึงลี้คิมฮวงให้ลงไปในแผน “สมคบคิด”