ส่องกองทัพระอุ ถอดรหัส ‘พี่ใหญ่’ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ได้ไปต่อ เกมยึด กห. จับตา 3 ต. ‘ต่อ-โต-ต้น’ ผลัดใบอำนาจ ‘3 ป.’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

ส่องกองทัพระอุ

ถอดรหัส ‘พี่ใหญ่’

‘บิ๊กตู่’ ไม่ได้ไปต่อ

เกมยึด กห.

จับตา 3 ต. ‘ต่อ-โต-ต้น’

ผลัดใบอำนาจ ‘3 ป.’

 

เข้าสู่ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลแล้ว โดยครั้งนี้ บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด นัดหารือ ผบ.เหล่าทัพ ส่งโผแรกกันต้นเดือนกรกฎาคมนี้

ถือเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งที่เข้มข้น เพราะต้องมีการเปลี่ยนทั้งปลัดกลาโหม ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. แทนคนที่เกษียณแล้ว

ยังลุ้นการขยับเก้าอี้ใหญ่ แม้ว่า ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ. จะยังไม่เกษียณ เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2566 แต่ก็ถูกจับตามองว่า กระแสข่าวลือว่าจะมีการขยับส่งท้ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และไม่ชัดเจนว่า จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหรือไม่

แม้ว่าด้วยความสัมพันธ์อันดีของ พล.อ.ประยุทธ์ กับบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. และบิ๊กแก้ว พล.อเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ จะอยู่ในขั้นดีก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่เคยบอกว่า จะไม่ย้าย หรือเป็นแค่ข่าวลือ มีแต่บอกว่า “ยังไม่ถึงเวลา”

ดังนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้

พล.อ.เจริญชัย, พล.อ.ณรงค์พันธ์

ตอนนี้เริ่มมีเสียงเล็ดลอดออกมาถึงคำว่า ความเหมาะสมของสถานการณ์ เพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ยังไม่วิกฤต และยังอยู่ในรัฐบาลของทีมทหารเก่าอย่างพี่น้อง 3 ป. และมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อยู่ บทบาทของ ผบ.ทบ.จึงไม่ต้องเข้มข้น หวือหวามากนัก ซึ่งเหมาะกับบุคลิกภาพของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ที่เป็นทหารอาชีพ และเงียบๆ นิ่งๆ

แต่ทว่า การเมืองในปี 2566 ที่จะมีการเลือกตั้ง แล้วหากมีการพลิกขั้ว พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเป็นนายกรัฐมนตรีคุมอำนาจรัฐ

เมื่อนั้น บทบาทของ ผบ.ทบ.อาจต้องเข้มข้นขึ้น เพราะอาจถูกท้าทาย และมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิด “อะไร” ขึ้นตามมา เมื่อนั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์อาจไม่เหมาะกับสถานการณ์

หรือหากพรรคพลังประชารัฐแม้ไม่ชนะเลือกตั้ง แต่จับขั้วพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งรัฐบาลได้ และมี 250 ส.ว.ช่วยยกมือให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกสมัย ก็คาดว่าจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองตามมา

เหล่านี้ จึงอาจเป็นเหตุผลเมื่อครั้งที่บิ๊กแดง พลอ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. ก่อนจะเกษียณ ได้ตัดสินใจเลือกระหว่าง พล.อ.เฉลิมพล และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ว่าใครจะเหมาะเป็น ผบ.ทบ. ที่จะเหมาะกับสถานการณ์ในปี 2566 แต่ที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็เลือก พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็น ผบ.ทบ. เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็มีแบ๊กอัพไม่ธรรมดา

ในเวลานั้น มีข่าวสะพัดว่า พล.อ.อภิรัชต์มองว่า พล.อ.เฉลิมพลมีความเหมาะสมมากกว่า ในด้านการเป็นทหารม้า สายบู๊ และเด็ดขาด แต่ที่สุดก็ต้องจบที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็น ผบ.ทบ.

โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ เลือก พล.อ.เฉลิมพลเป็น ผบ.ทหารสูงสุด และ พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็น ผบ.ทบ. เพราะจะได้นั่งนาน 3 ปี อยู่ดูแล พล.อ.ประยุทธ์ไปจนหมดสมัยในปี 2566 นั่นเอง

เพราะถึงอย่างไร กองทัพก็ยังมี พล.อ.เฉลิมพลเป็นผู้นำอยู่ แม้จะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.ก็ตาม

พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา

แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจขยับ พล.อ.ณรงค์พันธ์จาก ผบ.ทบ.ไปเป็นปลัดกลาโหม หรือ ผบ.ทหารสูงสุด หรือด้วยสูตรสไลด์ให้ พล.อ.เฉลิมพลย้ายระนาบไปเป็นปลัดกลาโหม เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ข้ามไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ก็ย่อมเป็นดัชนีชี้วัดการประเมินสถานการณ์ได้

หาก พล.อ.ประยุทธ์ดันบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผช.ผบ.ทบ. ทหารเสือราชินีน้องรัก ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในโยกย้ายครั้งนี้ แทน พล.อ.ณรงค์พันธ์เลยก็ย่อมสะท้อนได้ว่า อาจมีอะไรตามมา หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย

ในอีกทางหนึ่ง หากพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ ในปี 2566 และมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ก็เกรงว่า พล.อ.เจริญชัยอาจไม่ถูกเลือกเป็น ผบ.ทบ. เพื่อสกัดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์

หากอำนาจเปลี่ยนมือหลังการเลือกตั้งในปี 2566 ย่อมส่งผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลในกันยายน 2566 แน่ โดยเฉพาะจะเป็นจังหวะที่ต้องเปลี่ยนตัว ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.พอดี

แต่แน่นอนว่า ไม่มีทหารแตงโมคนไหนที่ขึ้นมาอยู่ในระดับที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นนายทหารในสาย “3 ป.” ที่ครองอำนาจในกองทัพ โดยเฉพาะ ทบ.มานาน จึงไม่มีนายทหารสาย “ชินวัตร” ได้เข้าไลน์นั่งเก้าอี้สำคัญ พอที่จะมาเป็นตัวเลือกได้

เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลในปี 2566 จะคุมกลาโหมเองหรือไม่ และจะกล้าล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้าทหารหรือไม่ เพราะมีบทเรียนจากยุคอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้วว่า แม้จะพยายามทำดี เอาใจกองทัพ สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับ ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. แต่ที่สุดก็มีปัญหา

ดังนี้น หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เริ่มมีการมองกันว่า อดีตทหารคนใดจะมาเป็น รมว.กลาโหม หากมีดีลพิเศษจริง บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อาจยังมีเพาเวอร์และบารมี ที่อาจได้นายทหารในสายบิ๊กป้อมมาเป็น รมว.กลาโหม เพื่อความปรองดอง รอมชอม

แม้แต่อนาคตของบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ พล.อ.ประวิตรหนุนให้ตั้งพรรคใหม่ พลังไทยชัยชนะ ที่หากได้ ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็สามารถร่วมรัฐบาลได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรค พปชร. หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทย เพราะ พล.อ.วิชญ์ก็มีสายสัมพันธ์อยู่เช่นกัน เพราะเป็นนายทหารสายปรองดอง

แต่หากไม่มีดีลจริง นายทหารหนึ่งในนั้น ที่อาจคัมแบ๊กคือ บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม แกนนำ ตท.14 มาเป็น รมว.กลาโหม เพราะ พล.อ.นิพัทธ์ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษานายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.

พล.ท.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง

เพราะย้อนไปเมื่อครั้งรัฐประหารพฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. ที่เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้สั่งเด้ง พล.อ.นิพัทธ์พ้นปลัดกลาโหม ที่เพิ่งนั่งมาได้ราว 7 เดือนเท่านั้น ไปนั่งตบยุงประจำสำนักนายกฯ และถูกจับตามอง และคุมกำเนิดมาตลอด จน พล.อ.นิพัทธ์หันไปเขียนหนังสือ เขียนบทความ และกลายเป็นยูทูบเบอร์

อีกทั้ง พล.อ.นิพัทธ์เป็นเพื่อนรัก ตท.14 กับบิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต ผบ.ทบ. และเติบโตจาก ร.21 รอ. ทหารเสือราชินีด้วยกัน จึงอาจทำให้ พล.อ.นิพัทธ์ ยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับน้องๆ ทหารในกองทัพ และกับขั้วอำนาจ 3 ป. ด้วย จึงไม่ได้เป็นสายสุดโต่งจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม หากอำนาจเปลี่ยนมือ ก็ต้องส่งผลต่อการจัดวางอำนาจในกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็คงจะไม่ถึงขั้นล้างบาง 3 ป. เพราะมีบทเรียนมาแล้ว

แต่อาจไม่เลือกนายทหารสายตรง 3 ป. หรือที่ 3 ป. หรือ พล.อ.ประยุทธ์เลือกไว้ มาเป็น ผบ.ทบ. และอาจทำให้แคนดิเดตนอกสายตา นอกสายอำนาจ 3 ป. อาจได้รับการพิจารณา โดยเฉพาะจากสายหมวกแดงรบพิเศษ ที่มีบิ๊กต้น พล.ท.ณัฐวุฒิ นาคะนคร ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) แกนนำ ตท.24 ที่เป็นดาวเด่นในสายรบพิเศษ ทั้งความเปรี๊ยะและเป๊ะ ที่หากโยกย้ายกันยายน 2565 นี้ ได้ขยับขึ้น 5 เสือ ทบ. ก็จะทำให้มีโอกาสชิง ผบ.ทบ.ในปลายปีหน้า

แต่ทว่า พล.ท.ณัฐวุฒิยังไม่ได้เป็นทหารคอแดง ยังไม่ได้ไปฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ของ ทม.รอ. แม้จะเคยมีข่าวว่าจะได้เข้าไปฝึก เพราะ ผบ.นสศ. คุมกรมรบพิเศษที่ 3 รักษาพระองค์ (รพศ.3 รอ.) กรมหมวกแดงคอแดงอยู่แล้ว แต่ทว่า การฝึกก็เลื่อนออกไป จนถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเกมการเมืองภายใน ทบ.ก็เป็นได้ เพราะรู้กันดีว่า ในยุคนี้ คนที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. จะต้องเป็นทหารคอแดงเท่านั้น

เพราะจะเห็นได้ว่า แม้จะยังไม่มีการฝึกหลักสูตรคอแดงของระดับนายพล รุ่นที่ 3 ที่เลื่อนมาเพราะสถานการณ์โควิด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ทว่า ก็มีการฝึกแบบเฉพาะบุคคลได้ เช่น ที่มีชื่อบิ๊กปู พล.ต.พนา แคล้วปลอดทุกข์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ได้เข้าไปฝึกแล้ว ตั้งแต่ต้นพฤษภาคมที่ผ่านมา จนทำให้ถูกจับตามองว่า จะได้ขึ้นเป็นพลโทในตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 1 เพื่อจ่อเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในอนาคต

แม้ข่าวบางกระแสจะสะพัดว่า จะได้ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 ในโยกย้ายกันยายน 2565 นี้เลยก็ตาม

พล.ท.ณัฐวุฒิ นาคะนคร

ดังนั้น ในการโยกย้ายครั้งนี้ คาดว่า พล.ท.ณัฐวุฒิจะยังไม่ได้ขึ้น 5 เสือ ทบ. เพราะเพิ่งเป็น ผบ.นสศ.ได้แค่ 1 ปี และอาจถูกสกัดดาวรุ่ง เพราะหากขึ้น 5 เสือ ทบ. จะกลายเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.อีกคน อีกทั้งบิ๊กยอง พล.อ.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง ผช.ผบ.ทบ. ที่ขึ้นมาในโควต้า ผบ.นสศ. สายรบพิเศษ ก็ยังไม่เกษียณ จะเกษียณกันยายน 2566

อีกทั้งโยกย้ายกันยายนนี้ แม้จะมีเก้าอี้ ผช.ผบ.ทบ. และเสธ.ทบ.ว่าง เพราะ พล.อ.เจริญชัยคาดจะขยับขึ้นรอง ผบ.ทบ. ส่วนบิ๊กติ่ง พล.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ เกษียณราชการ แต่มีแคนดิเดต 5 เสือ ทบ.หลายคน ทั้งเต็งหนึ่ง แม่ทัพโต พล.ท.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง แม่ทัพภาคที่ 1 จาก ตท.23 ที่จะกลายเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ. อีกคน และเป็นนายทหารคอแดงตามสเป๊ก และเป็นสายตรงบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับบ้านจันทร์ส่องหล้า หากเกิดวิกฤตขึ้น พล.อ.ประวิตรคงจะเจรจากับทางสายชินวัตรได้

ส่วนแม่ทัพต้น พล.ท.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพเกรียง พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่จะต้องขึ้นมาเป็นพลเอกก่อนเกษียณ ก็ไม่ได้ขึ้น 5 เสือ ทบ. อาจเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. หรืออาจต้องข้ามไปเป็นรองเสธ.ทหาร

ส่วนตำแหน่งเสธ.ทบ.ก็มีแคนดิเดตหลายคน ทั้งบิ๊กโซ่ พล.ท.ชนาวุธ บุตรกินรี รองเสธ.ทบ. จาก ตท.23 ที่เติบโตมาในสายบุ๋น และดูงานยุทธการมาตลอด กับบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสธ.ประจำ ผบ.ทบ. รุ่นน้อง ตท.24 ที่เป็นน้องรักของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่มอบหมาานสำคัญให้ตลอด รวมทั้งให้คุมสายงานยุทธการด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม พล.อ.ทรงวิทย์กำลังถูกจับตามองว่า ด้วยม่านประเพณีที่เรียนจบนอก นายร้อยเวอร์จิเนีย สหรัฐมา ไม่ได้จบจาก รร.นายร้อย จปร. จะเป็น ผบ.ไม่ได้นั้น อาจจะถูกส่งข้ามไป บก.ทัพไทยในโยกย้ายครั้งนี้ อาจเป็นเสนาธิการทหาร แทนเสธ.โจ้ พล.อ.ณตฐพล บุญงาม ที่จะเกษียณ เพื่อไปรอจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคอแดงคนที่ 2 ต่อจาก พล.อ.เฉลิมพล ที่จะเกษียณกันยายน 2566

 

ดังนั้น โอกาสที่ พล.ท.ณัฐวุฒิจะขึ้น 5 เสือ ทบ.ในโผนี้เลยจึงยาก และจะทำให้โอกาสในการเป็น ผบ.ทบ.ช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐบาลในปี 2566 จึงน้อยลง ยกเว้นว่า หากโยกย้ายกลางปี ในเมษายน 2566 จะได้ขึ้นเป็นพลเอกเอาไว้ก่อน แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งหลักก็ตามที

แต่กระนั้น ด้วยอายุราชการถึงกันยายน 2568 ก็ถือว่า พล.ท.ณัฐวุฒิยังมีโอกาสชิง ผบ.ทบ.ในอนาคต เพราะมักจะมี ผบ.ทบ.มาจากสายรบพิเศษเสมอๆ ในยามที่สถานการณ์ไม่ปกติ เช่นที่บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. จากตำแแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ไม่ได้มาจาก 5 เสือ ทบ. แถมมีอายุราชการเหลือในเวลานั้นถึง 5 ปี

หรือกรณีบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี ที่ได้มาเป็น ผบ.ทบ.ในสถานการณ์ที่กองทัพเริ่มมีปัญหาความแปลกแยก เพราะทหารสายบูรพาพยัคฆ์ จาก พล.ร.2 รอ. ครองอำนาจต่อเนื่องมายาวนาน สลับกับสายวงศ์เทวัญ ที่เติบโตจาก พล.1 รอ. หรือภาพรวมจากกองทัพภาคที่ 1 มาตลอด จึงต้องเอานายทหารสายรบพิเศษ ที่มาจาก นสศ. เทียบกองทัพภาคที่ 5 ขึ้นมาบ้าง

หรือย้อนกลับไป แม้แต่สมัยที่ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช ที่ได้เป็น ผบ.ทบ. เพราะเป็นรบพิเศษ และถูกมองว่าเป็น จปร.5/1 คนละก๊วนกับบิ๊กสุ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ จปร.5 โดนล้างบาง หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 แม้ว่าวันนี้จะไม่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี อยู่แล้วก็ตาม แต่ทว่า ทหารรบพิเศษ Top Man ก็ยังมีความพิเศษและยึดครองอำนาจ ทบ.ได้เสมอๆ

แต่สำหรับ พล.ท.ณัฐวุฒิอาจจะยังรอได้ เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2568 เพราะอาจถึงสถานการณ์ที่ว่า ผบ.ทบ.ไม่ต้องมาจากทหารคอแดง หรือหากยังต้องเป็นทหารคอแดง ตราบที่ยังมี “ฉก.ทม.รอ.904” อยู่ แต่อาจเป็นรบพิเศษคอแดง หรือหมวกก็แดง คอก็แดง ก็อาจเป็นได้

 

ในการโยกย้ายตุลาคม 2566 หลังการเลือกตั้ง และการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่นั้น คนที่ถูกจับตามองอีกคนคือ พล.ท.สุขสรรค์ ที่จะขึ้นจากแม่ทัพภาคที่ 1 มาเป็น ผช.ผบ.ทบ. ในโผกันยายน 2565 นี้ ก็จะกลายเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.อีกคน แม้ว่าจะต้องชิงกับ พล.อ.เจริญชัย เพื่อน ตท.23 น้องรักบิ๊กตู่ก็ตาม เพราะ พล.ท.สุขสรรค์ถูกมองว่าเป็นบูรพาพยัคฆ์สายบู๊มากกว่า

จึงไม่แปลก ที่จะเกิดกระแสข่าวลือสะพัดมาหลายเดือนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะดัน พล.อ.เจริญชัย น้องรักขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในโยกย้ายครั้งนี้ ทิ้งทวนก่อนที่จะยุบสภา หรืออยู่ครบวาระ และมีการเลือกตั้งใหม่ ที่ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาคุมอำนาจรัฐอีกหรือไม่ แต่ทว่า จะต้องใช้พลังภายในอย่างหนักหน่วง เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็มีแบ๊กอัพไม่ธรรมดา และไม่อยากถูกเด้งจาก ผบ.ทบ.อยู่แล้ว และไม่ได้มีความผิดอะไร

บรรยากาศใน ทบ.เวลานี้ จึงมีคู่ชิงหลายคู่ที่เป็นซับเซ็ตทับทาบกัน ทั้ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ ตท.22 ที่ต้องรักษาเก้าอี้ ทบ.1 เพื่อที่จะนั่งให้ครบ 3 ปีจนเกษียณ กับ พล.อ.เจริญชัย รุ่นน้อง ตท.23 ที่เกิดวันปีใหม่ 1 มกราคมเหมือนกัน แต่ห่างกัน 1 ปีพอดี

แม้สถานะของ พล.อ.เจริญชัยจะเป็นเต็งหนึ่ง รอจ่อขึ้น ผบ.ทบ.แบบชิลๆ ในตุลาคม 2566 ได้ก็ตาม แต่เพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน รวมทั้งอนาคตอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ กองหนุนจึงย่อมต้องอยากให้ขยับขึ้น ผบ.ทบ.ไว้ก่อน ในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่ในอำนาจ เป็นทั้งนายกฯ และ รมว.กลาโหม แต่หากร้องเพลงรอต่อไป โยกย้ายตุลาคม 2566 ก็จะมีคู่แข่งอย่าง พล.ท.สุขสรรค์ เพื่อนร่วมรุ่นเพิ่มมาอีกคน

ดังนั้น จึงต้องรอวัดใจ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะกล้าแตะเก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ในโยกย้ายครั้งนี้หรือไม่

 

หาก พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจในอนาคตอำนาจ อนาคตการเมืองของตนเองหลังการเลือกตั้ง ก็อาจจะยังไม่ต้องแตะ หรือขยับอะไร เพราะถึงอย่างไรตุลาคม 2566 เมื่อ พล.อ.ณรงค์พันธ์เกษียณ เมื่อนั้น พล.อ.เจริญชัยก็เป็นเต็งหนึ่งที่มีความชอบธรรมมากที่สุดอยู่แล้ว

ทว่า ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่มั่นใจในอนาคตเท่าใดนัก แม้จะอยากไปต่อ แต่คะแนนนิยมก็ลดวูบ แถมคนเบื่อ เพราะอยู่มานาน 8 ปีแล้ว อีกทั้งยังตกอยู่ในภาวะที่ถูกเจเนอเรชั่นไล่ล่า คลื่นของคนรุ่นใหม่แรงขึ้นๆ หรือที่ พล.อ.ประยุทธ์เรียกว่า สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ก็ดูจะไม่ค่อยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายกฯ ต่อในสมัยที่ 3 เท่าใดนัก เพราะระบุแค่ว่า “พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ไปจนจบ” ที่หมายถึงในเทอมนี้เท่านั้น แต่ยังไม่เคยชี้ชัดถึงสมัยหน้า

แถมระบุว่า “พล.อ.ประยุทธ์ทำงานมา 8 ปีแล้ว เหนื่อยมั้ย ให้ไปถามนายกฯ ดู” ที่เหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณว่า พล.อ.ประยุทธ์อยากพักผ่อน หรืออีกนัยหนึ่งคือ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้พัก เพราะพี่ใหญ่อาจจะประเมินว่า เข็นน้องตู่ต่อไปก็คงเหนื่อย เพราะคะแนนนิยมก็ตกวูบ

ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมาแรง แม้แต่นิด้าโพลก็ยังชี้ว่า ประชาชนเลือกอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ มากกว่าเลือก พล.อ.ประยุทธ์

รวมถึงคะแนนที่เลือกนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. แบบถล่มทลาย และผลการเลือกตั้ง ส.ก.ที่พรรคพลังประชารัฐได้แค่ 2 ที่นั่ง ที่สะท้อนความตกต่ำของทั้ง พปชร. และเรตติ้งของ พล.อ.ประยุทธ์เอง

จนทำให้ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่า พปชร.เป็นรองพรรคเพื่อไทย และยอมรับว่า พปชร.ตกต่ำ จนต้องมีการแก้ไข ปรับกลยุทธ์ในการลงพื้นที่

 

กระนั้น พล.อ.ประวิตรก็เลี่ยงที่จะระบุว่า ในเมื่อเรตติ้ง พล.อ.ประยุทธ์ลดลง แล้วจะยังเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ แค่ชื่อเดียวของ พปชร.ในการเลือกตั้งสมัยหน้าหรือไม่ หรือจะเพิ่มชื่อแคนดิเดต เพิ่มจุดขาย

“อันนี้เป็นเหตุการณ์ข้างหน้า อย่าเพิ่งถาม ถามตอนนี้ผมก็ตอบเองคนเดียวไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของพรรค คุณจะให้ผมตอบยังไง” พล.อ.ประวิตรเปิดช่องให้เป็นเรื่องของพรรคตัดสินอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ ประหนึ่งเปิดช่องไว้สำหรับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ ขณะที่กระแสข่าวดีลระหว่างพรรค พปชร. และพรรคเพื่อไทย ยังคงอยู่ในการเมือง

แม้แต่กระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประวิตรจะเป็นนายกฯ เองในสมัยหน้า “บิ๊กป้อมจะเล่นเอง” หลังจากที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ทำหน้าที่นายกฯ มานานถึง 8 ปี โดยมีบิ๊กป้อม พี่ใหญ่ประคองหลัง และคอยเดินเกมทางการเมืองให้

ยิ่งหากจะมีชื่อ พล.อ.ประวิตรเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.อันดับ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. หากสามารถจับขั้วตั้งรัฐบาลได้ และอาจได้รับการโหวตในสภา ให้เป็นนายกฯ แทนที่จะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นได้

เพราะเกมของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย อาจต้องใช้ พล.อ.ประวิตรเป็นทางลงให้ พล.อ.ประยุทธ์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ การใช้ พล.อ.ประวิตรกำจัด พล.อ.ประยุทธ์ออกไปจากการเมืองให้ได้เสียก่อน

แน่นอนว่า พล.อ.ประวิตรมองเกมนี้ออก แต่ทว่า จะมีเกมของตัวเองซ้อนแผนไว้แล้วก็เป็นได้

แต่ท้ายที่สุด หากไม่มีดีลพิเศษใดๆ หากพรรคเพื่อไทยชนะแบบแลนด์สไลด์ ได้จัดตั้งรัฐบาล ยึดเก้าอี้นายกฯ ยึดอำนาจรัฐ โดยที่พี่น้อง 3 ป.ถูกบีบให้ถอยออกไปโดยไม่เต็มใจ

เมื่อนั้น อะไรก็เกิดขึ้นตามมาได้เสมอ ยิ่งเมื่อมีผลกระทบต่อกองทัพแบบเต็มๆ เพราะถึงอย่างไร 3 ป.ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว