บางอย่างในความรักของเรา (16) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

บางอย่างในความรักของเรา (16)

 

เสียงสวดคาถาจากบทสวดพระอภิธรรมก่อให้เกิดความวังเวงใจแก่ผู้ได้ยินเสียงบทสวดนั้นอย่างบอกไม่ถูก ผมได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ จากเก้าอี้ด้านหน้าที่ตั้งประชันหน้ากับร่างของผู้จากไป พวงหรีดและดอกไม้ในศาลานั้นแม้จะมีกลิ่นหอมและสีสันอันงดงามแต่มันก็หาได้สร้างความสดชื่นใดๆ แก่ผู้ที่มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้เลย อีกทั้งถ้อยความบนพวงหรีดที่เต็มไปด้วยคำว่าด้วยรักและอาลัย อาลัยยิ่ง หรืออาลัยอย่างที่สุด เมื่ออ่านแล้วย่อมยิ่งทำให้หัวใจเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก

ผมนั่งพนมมืออยู่กับที่ สดับตรับฟังเสียงสวดนั้นจนสิ้นเสียง พระสงฆ์สี่รูปรับเครื่องประเคนจากพ่อและญาติของปิ่นก่อนจะลงจากเสนาสนะ พวกท่านพากันเดินกลับไปสู่กุฏิที่พำนัก อันเป็นสัญญาณถึงการจบสิ้นพิธีกรรมในวันนี้

แขกเหรื่อทั้งหลายพากันมายกมือไหว้ลาผู้เป็นเจ้าภาพ พวกเขาคงมางานนี้ด้วยผลจากหน้าที่การงาน แม่ของปิ่นเป็นเพียงแม่บ้านที่ไร้ความสลักสำคัญใดๆ ในขณะที่ผู้เป็นพ่อของปิ่นต่างหากที่เป็นข้าราชการและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ผมแค่นสีหน้าด้วยความรังเกียจในพฤติกรรมและการประพฤติตนเช่นนี้ งานศพควรเป็นงานสุดท้ายที่เราได้แสดงความจริงใจต่อกันและกัน อย่างน้อยก็ต่อผู้ที่จากไปที่ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้ว การเสแสร้งแกล้งทำทั้งหลายควรจบสิ้นลง การตลบตะแลงไร้ความจริงใจควรจบสิ้นลง

แต่ก็นั่นเอง ไม่มีใครจะจริงจังเรื่องเช่นนี้หรอก อย่างน้อยก็ในศาลาแห่งนี้

 

ผมเดินตรงไปที่โลงศพของแม่ปิ่น คุกเข่าและก้มลงจุดธูปหนึ่งดอกเพื่อกราบร่างไร้วิญาณของแม่ปิ่น การปรากฏตัวของผมในที่ตรงนั้นสร้างความตึงเครียดอย่างมหาศาลจนผมรู้สึกได้ ผมรู้สึกเหมือนมีดวงตานับพันนับหมื่นจ้องมองอยู่ที่ด้านหลังของผม ผมนั่งสงบนิ่งอยู่กับที่เนิ่นนานก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนและหันหลังไปเผชิญหน้ากับดวงตาและผู้คนเหล่านั้น

ทว่า เมื่อผมหันหลังกลับไป บุคคลเดียวที่รอผมอยู่คือพ่อของปิ่น และแทนคำทักทาย เขาจับคอเสื้อของผมและลากผมออกมานอกศาลา เขาเหวี่ยงผมลงกับพื้นก่อนจะสบถคำของเขาออกมา

“ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก”

ผมยันกายลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา มีเศษดินติดอยู่ในปากของผม ถ้อยคำของผมตะกุกตะกัก ไร้สำเนียง

“ผมคิดว่านี่เป็นงานสำคัญและผมในฐานะของเพื่อนปิ่นควร…”

“เธอไม่มีฐานะอะไรทั้งนั้นสำหรับปิ่น สำหรับฉัน สำหรับครอบครัวของฉัน และถ้าจะมี ฐานะเดียวของเธอคือฐานะของคนแปลกหน้าที่ฉันจะไม่มีวันต้อนรับเธอเป็นอันขาด เธอมาที่นี่เพราะอะไร ขาดเงินหรือว่าอดอยาก มาให้ฉันเห็นหน้าเพื่อที่จะได้ให้ฉันจ้างเธอจากไปหรือ ได้ ถ้าอยากได้เงินฉันจะให้ ปิ่นบอกฉันว่าเธอไปเช่าห้องพักโกโรโกโสอยู่แถวมหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ พ่อแม่เธอคงไล่เธอออกจากบ้านแล้วล่ะสิ คนหลักลอยอย่างเธอจะทำอะไรเป็น เข้ามหาวิทยาลัยได้ก็บุญโขแล้ว บอกมาสิ เธออยากได้เท่าไหร่ที่จะพอค่ากินค่าอยู่ของเธอไปจนจบมหาวิทยาลัย คราก่อนทำปากหนัก ไม่ยอมบอกตัวเลข ครานี้คงเข้าตาจนล่ะสิ ปะเหมาะเคราะห์ดีเลยได้ใช้งานศพแม่ของปิ่นบังหน้า เธอนี่มันร้ายนัก”

ผมไม่แน่ใจว่าคำพูดเหล่านั้นถูกตระเตรียมมาล่วงหน้าแล้วหรือไม่ กระนั้นมันก็แลดูผิดปกติอย่างมาก พ่อของปิ่นเอ่ยถ้อยความเหล่านี้อย่างไม่ติดขัดราวกับว่าเขาได้เขียนและท่องจำมันมาแล้วนับร้อยนับพันหน เขาเอ่ยมันในรวดเดียว เน้นจังหวะเสียง จ้องหน้าผม แสดงท่าทีเย้ยหยันและใช้คำพูดที่ประหนึ่งจะทำให้ผมอับอาย แขกเหรือที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้นจ้องผมเป็นตาเดียวกัน บุคคลเดียวที่ไม่ได้จ้องมองผมคือ “ปิ่น”

ปิ่นหายตัวไปแล้วจากที่ตรงนั้น

 

พ่อของปิ่นจ้องหน้าผมในฐานะของผู้ชนะ เขาสามารถทำให้ผู้คนทั้งหลายเชื่อว่าผมเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ เขาสามารถทำให้ผู้คนทั้งหลายเชื่อว่าผมเป็นใครบางคนที่มีฐานะทางสังคม ชาติกำเนิดและความรู้แตกต่างจากพวกเขา

ผมดึงผ้าเช็ดที่นำติดตัวมาจากกระเป๋ากางเกง เช็ดคราบดินและรอยเปื้อนบนใบหน้าก่อนจะยกมือไหว้พ่อของปิ่น ผมหันหลังจากเขามุ่งหน้าไปสู่ประตูทางออกของวัด แต่ช่วงเวลานั้น ผมตัดสินใจหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“คุณพูดผิดว่าผมไม่มีฐานะอะไรเลยกับปิ่น ผมรู้ว่าคุณภูมิใจในฐานะพ่อของปิ่น ผมก็ภูมิใจตนเองในฐานะคนรักของปิ่นเช่นกัน หากเราทั้งคู่จะยึดครองปิ่น เราก็ล้วนมีฐานะแตกต่างกันเช่นนี้ แต่หากเราไม่มีฐานะอะไรเลยเกี่ยวกับปิ่น เราก็จะเป็นคนที่ไม่มีความหมายต่อปิ่นเท่ากัน ปิ่นไม่ใช่สิ่งของ ปิ่นเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่จะเลือกเองว่าใครหรือผู้ใดจะมีความหมายต่อตัวเธอ”

ผมกลับถึงห้องพัก บาดเจ็บและรวดร้าวทั้งร่างกายและจิตใจ ในด้านร่างกายผมอาบน้ำชำระมันได้ แต่ในด้านจิตใจผมยังแสวงหาหนทางเยียวยามันไม่ได้เลย ผมพบว่าโดยพลันผมได้กลับกลายเป็นบุคคลที่ตกต่ำ ย่อยยับอับประมาณ ปราศจากเสียซึ่งความมีเกียรติยศใดๆ ในสายตาของคนกลุ่มหนึ่ง และเมื่อมันผนวกรวมกับการมุ่งไปที่งานนั้นเพื่อแสดงความอาลัย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงาน แต่กลับกลายเสียแล้วว่าผมได้เป็นบุคคลที่เป็นส่วนเกินของงานโดยแท้เทียว

นั่นยิ่งทำให้ความเจ็บปวดทางจิตใจของผมลงรากลึกยิ่งกว่าเดิม

 

สมุดที่ว่างเปล่าถูกผมรื้อลงจากชั้น ผมใช้มันเขียนทุกอย่างที่อยู่ในความรู้สึก ในช่วงก่อนนั้นผมยังมีพลังที่จะต่อสู้กับความผิดหวัง ผมยังมีพลังที่จะจัดการกับความผิดหวังพลั้งพลาดทั้งมวลในความรักระหว่างผมกับปิ่น แต่ในยามนั้นผมเพียงแต่คิดว่าศัตรูในความรักระหว่างผมกับปิ่นคือบุคคล จะเป็นชายหนุ่มคนใดหรือพ่อของปิ่นก็ตาม แต่ในยามนี้ ผมแน่แก่ใจแล้วว่าศัตรูในความรักระหว่างผมกับปิ่นคือความคิด คืออุดมการณ์ คือจิตสำนึก ผมกับปิ่นเราต่างกันเหลือเกินในมุมมองที่มีต่อโลก ต่อสังคม ต่อผู้คนและต่อวิถีชีวิต ผมกับปิ่นเราต่างกันเหลือเกินในอุดมคติที่มีต่อโลกใบนี้

จนรุ่งสาง สมุดทั้งหมดแทบไม่เหลือหน้ากระดาษเปล่า ผมเขียนทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับปิ่น ทั้งเรื่องราวในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของเธอในห้อง ครั้งแรกที่ผมนั่งลงรับประทานอาหารกับเธอ ครั้งแรกที่ผมจับมือเธอ ครั้งแรกที่ผมเกิดความรู้สึกทางเพศกับเธอ ไปจนถึงความเจ็บปวดรวดร้าว การถูกดูหมิ่น ดูแคลน ความอับอาย ความทรมานจากการพลัดพรากและต้องห่างไกล ผมเขียนทุกอย่างจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีความทรงจำมากมายเช่นนั้นระหว่างผมกับปิ่น เมื่อหน้ากระดาษหมดลง ผมหอบสมุดเหล่านั้นลงมายังด้านล่างของบ้านเช่า ผมค้นหาถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่จะใส่สมุดเหล่านั้นได้หมด และเมื่อพบผมก็ใส่สมุดเหล่านั้นลงในถุงก่อนจะโยนมันลงในถังขยะบริเวณนั้น

ผมนั่งลงที่ม้านั่งหินอันเป็นเครื่องเรือนเดียวของที่นี่ ดูจะมีคนจับจองบ่อยครั้งของบ้านเช่า ผมจุดบุหรี่ขึ้นสูบ นั่งมองถังขยะดังกล่าว ความรักอันบริสุทธิ์ผุดผ่องระหว่างผมกับปิ่นถูกแปดเปื้อน หม่นหมองกับสิ่งปฏิกูลในถังขยะแล้วยามนี้

ราวสิบนาทีหลังจากหมดบุหรี่ไปสองตัว ผมก็ตัดสินใจเก็บเอาถุงดังกล่าวจากถังขยะ ผมคว้ามันซึ่งบัดนี้มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง เดินตรงไปยังวัดที่ใกล้เคียงที่สุด ผมนำขยะถุงนั้นไปที่เมรุเผาศพ เจรจากับสัปเหร่อที่ดูแลสถานที่ดังกล่าว ผมขอร้องให้เขาช่วยเผาสิ่งนี้ไปพร้อมกับงานฌาปนกิจที่จะมีต่อไป

แม้จะมีทีท่าสงสัย แต่เมื่อผมมอบสินน้ำใจให้แก่เขาในปริมาณที่มากพอควร คำถามทั้งหลายก็หมดลง

 

ผมเดินออกจากวัดตรงไปยังโรงพยาบาลศิริราช ผมนั่งเล่นที่สนามโล่งใกล้สถานีรถไฟบางกอกน้อย จ้องมองไปที่มหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีที่นั่นกับปิ่น ผมจะทำได้อย่างไร ผมลบความทรงจำทั้งหมดกับปิ่นไปแล้ว และผมจะทนอยู่กับความทรงจำใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร แค่คิดเพียงเท่านี้ ความเจ็บปวดในใจของผมก็พลุ่งพล่านขึ้น น้ำตาของผมไหลลงอย่างช้าๆ นี่เป็นน้ำตาแห่งความเศร้าหรือความอับจนต่อปัญหากันแน่ ผมไม่อาจแน่ใจ

หลังจากวันนั้น ผมพยายามหลบหน้าปิ่น ใช้ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยที่ผมเชื่อว่าปิ่นจะไม่เดินผ่านมา ผมทำเช่นนั้นอยู่ราวหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะพบว่ามันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ผมทราบจากเพื่อนสนิทของปิ่นในภายหลังว่า พิธีศพแม่ของปิ่นถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันสุดท้าย ในวันนั้นปิ่นกล่าวลาเพื่อนทุกคน ไม่นานนักปิ่นลาออกจากมหาวิทยาลัย พ่อของเธอส่งเธอไปต่างประเทศ มีคนไม่มากนักไปส่งเธอที่สนามบิน ปิ่นกอดทุกคน ร่ำไห้ พลางพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาทั้งในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ทั้งแม่ที่จากไปและเรื่องราวที่เธอต้องเผชิญในเบื้องหน้า

สิ่งเดียวที่เธอไม่ได้กล่าวถึงคือผม ปิ่นไม่ได้เอ่ยถึง “ผม” เลยแม้แต่คำเดียว •