ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กรกฎาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ล้านนาคำเมือง |
เผยแพร่ |
ล้านนาคำเมือง
ชมรมฮักตั๋วเมือง
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เสาอินทขีล

อ่านเป็นภาษาล้านนาว่า เสาอินทะขีน
เสาอินทขีล คือ เสาหลักเมืองของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเสาก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่รูปหกเหลี่ยมที่มีพระพุทธรูปปางรำพึงและบุษบกอยู่บนยอดเสา ความสูงจากฐานประมาณ 1 เมตร
ปัจจุบันตั้งอยู่ในวิหารจัตุรมุขแบบล้านนาที่มุงหลังคาด้วยแป้นเกล็ด โดยมีรูปปั้นยักษ์สองตนยืนอารักขา บริเวณด้านหน้าวิหารหลวงของวัดเจดีย์หลวง
พระมหาหมื่นวุฑฒิญาโณ วัดหอธรรม เชียงใหม่ เล่าถึงตำนานของเสาอินทขีลไว้ว่า บริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ ศูนย์กลางอาณาจักรล้านนานั้น เดิมทีเป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาติพันธุ์ลวะ เรียกว่า เวียงนพบุรี
ในเมืองนี้ แต่ก่อนมีผีคอยหลอกหลอนทำให้ชาวเมืองเดือดร้อน ไม่เป็นอันทำมาหากิน อดอยากยากจน
พระอินทร์จึงได้ประทานความช่วยเหลือ บันดาลบ่อเงิน บ่อทอง และบ่อแก้วไว้ในเมือง ให้เศรษฐีลวะ 9 ตระกูล แบ่งกันดูแลบ่อทั้ง 3 บ่อ บ่อละ 3 ตระกูล
โดยคนลวะต้องถือศีลรักษาคำสัตย์ เมื่ออธิษฐานสิ่งใดก็จะได้ดังสมปรารถนา ซึ่งคนลวะก็ปฏิบัติตาม
และต่างก็มีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์สืบมา
ข่าวความสุขความอุดมสมบูรณ์ของเวียงนพบุรี ซึ่งเป็นตระกูลของลวะเลื่องลือไปไกลและได้ชักนำให้เมืองอื่นยกทัพมาขอแบ่งปันสมบัติ
คนลวะตกใจจึงขอให้ฤๅษีนำความไปกราบทูลพระอินทร์ พระอินทร์จึงให้กุมภัณฑ์ หรือยักษ์ 2 ตน ขุดอินทขีล หรือเสาตะปูพระอินทร์ ใส่สาแหรกเหล็กหาบไปฝังไว้กลางเวียงนพบุรี
เสาอินทขีลมีฤทธิ์มาก ดลบันดาลให้ข้าศึกที่มากลายร่างเป็นพ่อค้า พ่อค้าเหล่านั้นต่างตั้งใจมาขอสมบัติจากบ่อทั้งสาม คนลวะแนะนำให้พ่อค้าถือศีลรักษาคำสัตย์และอย่าละโมบ เมื่อขอสิ่งใดก็จะได้
พ่อค้าบางคนทำตาม บางคนไม่ทำตาม บางคนละโมบ ทำให้กุมภัณฑ์ 2 ตน ที่เฝ้าเสาอินทขีลโกรธพากันหามเสาอินทขีลกลับขึ้นสวรรค์ไป และบ่อเงิน บ่อทอง บ่อแก้ว ก็เสื่อมลง
มีลวะผู้เฒ่าคนหนึ่ง ไปบูชาเสาอินทขีลอยู่เสมอ ทราบว่ายักษ์ทั้งสองนำเสาอินทขีลกลับสวรรค์ไปแล้วก็เสียใจมาก จึงถือบวชนุ่งขาวห่มขาว บำเพ็ญศีลภาวนาใต้ต้นยางเป็นเวลานานถึง 3 ปี ก็มีพระเถระรูปหนึ่งทำนายว่า ต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติ
ลวะเกิดความกลัวจึงขอร้องให้พระเถระรูปนั้นช่วยเหลือ
พระเถระบอกว่า ให้ลวะ 4 ฝ่าย คือ พระภิกษุ ฤๅษี ผี และประชาชน ร่วมกันหล่ออ่างขางหรือกระทะขนาดใหญ่ แล้วใส่รูปปั้นต่างๆ อย่างละ 1 คู่ ช้าง ม้า เป็นต้น ปั้นรูปคนชายหญิงให้ครบร้อยเอ็ดภาษาใส่กระทะใหญ่ลงฝังในหลุมแล้วทำเสาอินทขีลไว้เบื้องบนทำพิธีสักการบูชา จะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติ
การทำพิธีบวงสรวงสักการบูชา จึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาพระเจ้ากาวิละให้สร้างรูปปั้นกุมภัณฑ์และรูปพระฤๅษีไว้พร้อมเสาอินทขีล เป็นสัญลักษณ์คู่กันเอาไว้ข้างวิหาร
การสักการบูชาเสาอินทขีลจะเริ่มทำในวันแรม 13 ค่ำ เดือน 8 เหนือ และเสร็จในวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 9 เหนือ เป็นประจำทุกปี
จึงเรียกว่า เดือนแปดเข้าเดือนเก้าออกเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่บ้านเมือง และประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทอง ฝนตกตามฤดูกาล
ไม่มีโรคร้ายเภทภัยมาเบียดเบียน •