เมื่อผมติดเชื้อโควิด-19 จากเที่ยวบินสู่สหรัฐอเมริกา/รายงานพิเศษ มงคล วัชรางค์กุล

รายงานพิเศษ

มงคล วัชรางค์กุล

 

เมื่อผมติดเชื้อโควิด-19

จากเที่ยวบินสู่สหรัฐอเมริกา

 

ผมบินจากสนามบินสุวรรณภูมิสู่สนามบินฟีลาเดลเฟีย (PHL), อเมริกา เมื่อคืนวันที่ 4 มิถุนายน เวลา 03.00 น. ซึ่งถือเป็นวันใหม่ อาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2022 แล้ว

ผมบินด้วยสายการบิน Qatar Airways ช่วงแรกบิน BKK-DOH (Doha-เมืองหลวงของกาตาร์) 6 ชั่วโมง พักเปลี่ยนเครื่อง 2 ชั่วโมง แล้วบินจาก DOH-PHL อีก 14 ชั่วโมง

ผมมาถึงสุวรรณภูมิตอนสี่ทุ่มกว่า เครื่องออกตีสาม เผื่อเวลาไว้มากพอจะพบว่า คิวรอเข้าเช็กอินของ QR (Qatar Airways) เริ่มยาวแล้ว เขาเปิดเคาน์เตอร์เฉพาะให้ผู้โดยสารต่อเครื่องไปอเมริกา 2 เคาน์เตอร์ กราวโฮสเตสบอกว่า คนที่จะไปอเมริกาจะต้องมีใบตรวจ ATK 24 ชั่วโมงเป็นลบ คนที่ยังไม่ได้ตรวจต้องลงไปตรวจที่ซุ้มตรวจตรงชั้น 1 ประตู 3 โรงพยาบาลสมิติเวชมาตั้งซุ้มตรวจที่นั่น เสียค่าตรวจ 550 บาท ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง

ถ้าใครเผื่อเวลามาไม่มากพอตรวจ ATK มีสิทธิ์ตกเครื่อง

ผมผ่านกระบวนการตรวจ ATK การเช็กอินจากเคาน์เตอร์ H ผ่านเอ็กซเรย์ความปลอดภัย ผ่าน ตม. เดินไปยังประตูขึ้นเครื่อง C 6 ระยะทางไกลมาก น่าจะเกือบ 1 กิโลเมตร ไปถึง Gate ก่อนเวลาเรียกขึ้นเครื่องไม่นาน

ขอเล่าด้วยความดีใจว่า เที่ยวบิน QR 837 BKK-DOH คืนนั้น บินด้วย Air Bus A 380-800 เครื่องบินตัวใหญ่ที่สุดในโลก จุ 500 คน สังเกตดูพอบอกได้ว่า เที่ยวบินนี้เต็มแทบทุกที่นั่ง

แสดงว่าการเดินทางจากต่างประเทศเริ่มกลับคืนสู่เมืองไทยแล้ว

ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 เมื่อ 2 ปีก่อน กาตาร์ แอร์บินออกจากสุวรรณภูมิวันละ 2 ตัว บินออกจากภูเก็ตวันละ 1 ตัว

บินออกไปได้ชั่วโมงกว่า เสิร์ฟอาหารว่างเป็นแซนด์วิช ผมถอด Masks รีบกิน แล้วใส่ Masks ต่อทันที

พออีก 2 ชั่วโมงจะถึงโดฮา ก็ปลุกขึ้นมากินอาหารเช้า ผมถอด Masks รีบกินแล้วรีบใส่ Masks กลับคืน

บนเครื่องช่วงนี้ ผมเปลี่ยน Mask ธรรมดาชั้นนอกทิ้งไป เปลี่ยน Mask ผ้าชั้นในออก แล้วใส่ Masks ธรรมดาใหม่ซ้อน 2 ชั้น

 

สนามบิน Hamad International Airport ของโดฮา ใหญ่โตมโหฬารมาก เป็นศูนย์กลางของสายการบิน Qatar Airways เครื่อง QR จะบินเข้ามาจากทั่วโลก เพื่อเปลี่ยนผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางทั่วโลกเช่นกัน

Qatar Airways ได้รับเลือกเป็นสายการบินยอดเยี่ยมของโลก 5 ปีซ้อน ปีที่แล้วเว้นไปหนึ่งปี มาปีนี้ได้รับเลือกเป็นปีที่หก และพยายามรักษาตำแหน่งเพื่อโปรโมตฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์

ในสนามบินมีรถรางไฟฟ้าแขวนแล่นอยู่ชั้นบนไปยังเทอร์มินัลต่างๆ มีบันไดรางเลื่อนเชื่อมต่อเส้นทางเดิน และมีรถกอล์ฟนำผู้โดยสารไปยังเกตต่างๆ

ผมเลือกเดินทางกับรถกอล์ฟ คนขับเป็นชายหนุ่มเนปาลลี เขาทำงานที่นี่มา 8 ปีแล้ว รถพาวิ่งผ่านเทอร์มินัลต่างๆ มีร้านค้าแบรนด์เนมของโลกมากมาย ที่สะดุดตาคือ ร้านขายทอง ร้านใหญ่โตมาก

หน่วยรักษาความปลอดภัยของอเมริกันมาตั้งโต๊ะเอ็กซเรย์กระเป๋า ตรวจค้นอาวุธก่อนเข้าเกตบินไปอเมริกา

QR บินเข้าอเมริกาวันละ 12 Gateways หน่วยรักษาความปลอดภัยอเมริกันก็ต้องมาตั้งโต๊ะตรวจทั้ง 12 Gates

เที่ยวบิน QR 727 DOH-PHL บินด้วย Boeing 777-300 ER ผู้โดยสาร 300 คน เต็มเกือบทุกที่นั่ง

บิน 14 ชั่วโมง เสิร์ฟ 3 มื้อ บินออกมาราว 2 ชั่วโมง เสิร์ฟมื้อเช้า บินไปราว 6 ชั่วโมง เสิร์ฟอาหารว่างเป็นแซนด์วิช พออีก 2 ชั่วโมงก่อนถึงที่หมายปลุกขึ้นมากินมื้อกลางวัน

ตลอดการเดินทาง มีเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว คุกกี้ ข้าวโพดคั่วทำในอินเดีย วางไว้ที่เคาน์เตอร์ เสิร์ฟไม่มีอั้น

น้ำมะม่วงอินเดีย หวาน อร่อยมาก

ทุกครั้งที่กินอาหาร ผมถอด Masks รีบกิน รีบใส่ Masks โดยรวดเร็ว สวม Masks 2 ชั้นตลอดเวลาแม้ยามนอนหลับ (ดูหนังไป 1 เรื่องชื่อ 7 Days เป็นหนังแขกถ่ายทำในอเมริกา เรื่องของหนุ่มสาวแขกที่ต้องมาอยู่บ้านเดียวกัน 7 วัน ภายใต้สถานการณ์โควิด จนเกิดความรักขึ้น)

เป็นที่น่าสังเกตว่า แอร์โฮสเตสที่ให้บริการบนเครื่องเป็นสาวอินเดียนเป็นส่วนมาก ช่วงที่บินจาก BKK มาโดฮา คนที่ให้บริการผมเป็นสาวอินเดียนจากแคว้นอัสสัม ชื่อ ปรียา เธอน่ารักดี

QR 727 บินถึง PHL บ่ายสามโมงครึ่งตรงตามเวลา ทั้งที่ออกบินจากโดฮาล่าช้ากว่ากำหนดเกือบครึ่งชั่วโมง

 

ที่สนามบิน PHL ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนใส่ Masks กันสักคน

ผมถอด Masks ชุดเดิมที่ใช้บนเครื่องบินออก เปลี่ยนใส่ Masks ชุดใหม่จากกล่องในรถ

คนข้างกายขับรถมารับจากสนามบิน PHL สู่เมืองเรดดิ้งบนเส้นทางสาย Local เห็นปล่องโรงงานไฟฟ้าปรมาณู 2 ปล่อง พ่นควันทั้งวันทั้งคืน รัฐเพนซิลเวเนียมีโรงไฟฟ้าปรมาณู 8 โรง ไม่มีใครกลัวมลภาวะจากโรงไฟฟ้าปรมาณู

แวะกินข้าวมื้อเย็นที่ศูนย์อาหารของซูเปอร์สโตร์ชื่อ Wegmans ของอังกฤษระหว่างทาง ผมเลือกกินปลาดิบ ตัวแพงที่สุดของอาหารญี่ปุ่นในศูนย์การค้า ไม่เห็นมีลูกค้าคนไหนสวม Masks เลยสักคนเดียว

อาบน้ำเสร็จนอนหลับยาว

วันจันทร์รุ่งขี้นนอนตื่นสาย กิน Brunch (มื้อเช้า+มื้อกลางวัน) ตอนเที่ยง ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน กินมื้อเย็นตอนมืด มีอาการ Jet Lag ร่างกายกำลังปรับตัว

วันอังคารออกไปไปรษณีย์ส่งของที่รับฝากจากเมืองไทยมาส่งให้บรรดาลูกๆ ที่อยู่ในอเมริกา แล้วไปซื้อของที่ Lidl ซูเปอร์สโตร์ของเยอรมัน ผมชอบช้อปที่นี่เพราะไม่มีฮิสเพนนิคมาช็อป ไม่วุ่นวายเหมือนใน Walmart

วันนี้เริ่มมีอาการไอ คันคอ เริ่มเจ็บคอ

เช้าวันพุธ ไอมาก มีเสมหะ เจ็บคอมาก เวลากลืนน้ำเจ็บเหมือนเอามีดมากรีดคอ แต่ต้องพยายามกินน้ำให้ได้มาก จึงเจ็บคอทรมานที่สุด วัดอุณหภูมิได้ 38.5 มีไข้สูง

ตรวจ ATK ได้สีชมพูเข้ม 2 ขีด ผมติดโควิด-19

 

ย้อนไทม์ไลน์กลับไปดู ผมตรวจ ATK ที่สนามบินสุวรรณภูมิคืนวันเสาร์ ผลเป็นลบ ขึ้นเครื่องเดินทางมาอเมริกา ได้กำไรเวลามาหนึ่งวัน

บิน 24 ชั่วโมงถึงอเมริกาบ่ายวันอาทิตย์ วันพุธตรวจ ATK พบติดเชื้อ รวมเวลาติดเชื้อ 5 วันแล้วเกิดอาการพอดีตามสูตร

ต้องติดเชื้อตอนบินสู่อเมริกาสถานเดียว

มานึกย้อนดู ทำไมจึงติดเชื้อ ในเมื่อขามาจากอเมริกาสู่เมืองไทย บนเครื่องก็คนแน่นพอๆ กัน แต่ไม่ติดเชื้อ

เหตุผลน่าจะเป็นคราวนั้น ผมใส่ Mask ชั้นในเป็น N95 แล้วสวมทับชั้นนอกเป็นหน้ากากธรรมดาตลอดการเดินทาง

แต่ตอนขากลับอเมริกา ผมใช้หน้ากากชั้นในเป็นหน้ากากผ้า แล้วเปลี่ยนเป็นหน้ากากธรรมดา 2 ชั้นตลอดการเดินทาง ไม่ได้ใช้ N95 ทั้งที่มีอยู่ในกระเป๋าสะพาย

N95 เป็น Mask ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ใช้กันในโรงพยาบาล

แต่ไม่ว่าจะใส่ Mask อะไร ตอนที่ถอดหน้ากากออกกินข้าว ก็มีโอกาสติดเชื้อได้พอกัน

เคยอ่านเจอมาว่า เชื้อโควิดในเครื่องบินไม่น่ากลัวเท่าไร เพราะระบบถ่ายเทอากาศบนเครื่องบินทำได้ดี ที่น่ากลัวคือการติดเชื้อในสนามบินที่มีคนหนาแน่น ระบบระบายอากาศรองรับไม่ดีพอ

ผมเลินเล่อและประมาทเกินไป เพราะรอดมาตลอด 2 เดือนที่มาอยู่ในเมืองไทย ไปไหนมาไหนจนทั่ว ไปกระบี่ ภูเก็ต ก็ไม่ติดเชื้อ

เมื่อ 2 ปีก่อน ผมบินกลับมาเมืองไทยเดือนกุมภาพันธ์ตอนที่โควิดเริ่มระบาด แล้วติดอยู่กรุงเทพฯ นาน 6 เดือนเพราะไม่มีเครื่องบินบินกลับ สมัยนั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีน แต่ผมก็รอดปลอดภัยตลอดมา

จึงทำให้ชะล่าใจ

 

เมื่อเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ผมสั่งยา Ivermectin 12 mg จากอินเดีย มาช่วยคนที่ติดโควิด ส่งไปให้เพื่อนคนไทยและพระที่ติดโควิดในอเมริกา ล่าสุดเมื่ออังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 ส่งไปให้พระวัดไทยลาสเวกัส และพระวัดไทยแอลเอที่ติดโควิดกันหมดทั้ง 2 วัด

มาคราวนี้ ผมต้องจัดยา Ivermectin 12 mg ให้ตัวเอง เช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด

ยา Antibiotic แก้อักเสบ 500 mg เช้า-เย็น ครั้งละ 2 เม็ด

ยาแก้ปวด Paracetamol 500 mg เช้า-เย็น ครั้งละ 2 เม็ด

ยาฟ้าทะลายโจรของอ้วยอันโอสถ เช้า-เย็น ครั้งละ 2 เม็ด

อม Listerine กลั้วคอวันละหลายครั้ง บรรเทาอาการระคายคอ

แถมด้วยยาพ่น Ventolin ช่วยให้หายใจดีขึ้น

กินยาชุดนี้อยู่ 4 วัน ถึงวันเสาร์อาการเริ่มทุเลา ไม่มีไข้แล้ว ไอลดลงมาก เพิ่มยาลดเสมหะ Mucus Relief 1,200 mg วันละ 1 เม็ด ตามด้วยยาน้ำลดเสมหะ Robitussin วันละ 1 ช้อนโต๊ะ

และยังต้องกินยาทั้งหมดต่อไป

ยังโชคดีที่ผมหายใจได้ดี จึงไม่ต้องเรียก 911 นำตัวส่งแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลเพื่อติดเครื่องช่วยหายใจ

นับแต่ตรวจพบว่าติดเชื้อ ผมต้องกักตัวอยู่คนเดียว แยกห้องนอน ห้องน้ำ พักอยู่แต่ในห้อง คนข้างกายคอยส่งอาหารให้หน้าห้อง ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าวต้มกินกับกับข้าว ช่วยให้คล่องคอ

ส่วนวันที่คนข้างกายออกไปทำงาน ผมต้องช่วยตัวเองเรื่องอาหารการกิน ต้องสวมถุงมือพลาสติกแบบใช้หยิบอาหารตอนเปิดปิดตู้เย็น จัดอาหารเอง ส่วนถ้วย จาน ชาม ก็ใช้แบบกระดาษ กินแล้วโยนทิ้ง ช้อนซ่อมใช้แบบพลาสติก ใช้แล้วทิ้งเช่นกัน

โชคดีที่คนข้างกายไม่ติดเชื้อ

ข้อด้อยของผมคือ ผมเคยให้คีโมมา 12 ครั้ง บรรดาหมอเป็นห่วงว่า เซลล์บางตัวในร่างกายจะถูกคีโมทำลาย ทำให้อาจติดเชื้อได้รุนแรงกว่าคนธรรมดา

แถมผมยังอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นทั้งโรคเบาหวานและความดัน ไม่รู้ว่าจะมีอาการลองโควิดนานขนาดไหน

ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณวัคซีน Moderna 3 เข็ม ที่ช่วยให้การติดเชื้อโควิดคราวนี้ไม่รุนแรงนัก

ยังมีแรงเขียนรายงานฉบับนี้

ตรวจ ATK ล่าสุด 20 มิถุนายน 2565 หายติดเชื้อแล้ว