สู้-พ่ายแพ้-สู้ใหม่/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

สู้-พ่ายแพ้-สู้ใหม่

 

เส้นทางสายการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมไทยเรานั้น เป็นเส้นทางที่เหยียดยาว มีช่วงราบรื่นสดใส ดอกไม้เบ่งบานตลอด 2 ข้างทางบ้าง แต่ไม่ใช่โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดทาง บางช่วงลดเลี้ยววกวน เต็มไปด้วยความขรุขระ ต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อประชาชนไปมากมาย

นับจาก 24 มิถุนายน 2475 วันเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งใหญ่ โดยคณะราษฎร นำบ้านเมืองเราไปสู่ระบอบประชาธิปไตย

เท่ากับผ่านมาแล้ว 90 ปี การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดไม่บรรลุเป้าหมาย

โดยในปี พ.ศ.นี้ การปกครองกลับไปอยู่ในมือของฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง มีขุนศึกควบคุมอำนาจรัฐบาล เป็นนายกฯ เป็นตัวแทนเครือข่ายอำนาจนอกระบบประชาธิปไตย

ชัยชนะหนล่าสุดของฝ่ายขุนศึกขุนนาง มาจากการสมคบคิดวางแผน เริ่มจากนักการเมืองขวาจัด จัดม็อบออกมาต่อต้านรัฐบาลเลือกตั้งในปี 2556 ยืดเยื้อจนบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน เปิดทางให้ขุนศึกเข้ายึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

แล้วกุมอำนาจรัฐไว้ในมือในนามรัฐบาลทหาร ก่อนจะเปิดให้เลือกตั้ง แล้วตัวแทนกลุ่มขุนศึกขุนนางก็กุมอำนาจต่อ ด้วยการใช้ 250 ส.ว. เป็นเครื่องมือสำคัญ อยู่เหนือเสียง ส.ส.ที่ประชาชนเลือกเข้ามา

การต่อสู้ของประชาชนฝ่ายก้าวหน้าในยุคนี้ จึงมีทั้งสู้ผ่านพรรรคการเมืองที่เป็นตัวแทน ทั้งเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อทำให้เป็นประชาธิปไตย ตัดเงื่อนไขที่ทำให้ฝ่ายขุนศึกขุนนางใช้เอารัดเอาเปรียบ

อีกด้าน เป็นการเคลื่อนไหวนอกสภาของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ มีทั้งลงบนท้องถนนในบางช่วง มีทั้งเคลื่อนไหวผ่านโลกโซเชียลอันร้อนแรง เพื่อขับไล่รัฐบาลขุนศึกขุนนาง และเรียกร้องการพลิกโฉมสังคมใหม่

ทั้งบางส่วนก็ตั้งเป้าหมายว่า ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า หากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ สามารถเข้าเป็นรัฐบาลได้ ก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในบางระดับ

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง คงต้องดิ้นรนรักษาอำนาจการเมืองในมือเอาไว้ต่อไป

อาจจะทำอะไรก็ได้ทุกรูปแบบ เพื่อให้เป็นรัฐบาลต่อไป ยาวนานที่สุด

ขณะที่ฝ่ายก้าวหน้า ฝ่ายประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปข้างหน้ามาตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน

โดยฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายขวาล้าหลัง ก็ต่อสู้ปกป้องอำนาจเอาไว้ เพื่อไม่ยอมให้ประเทศนี้ก้าวหน้าไปสู่สังคมประชาธิปไตยเสรี มาโดยตลอดเช่นกัน!

 

หลังจาก 2475 ที่คณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วยปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า ทหารฝ่ายประชาธิปไตย สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จ เบิกม่านประชาธิปไตย มีการเมืองระบบเลือกตั้ง

เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของประชาชนไทย ทำให้การเมืองเข้าสู่ยุคประชาชนมีส่วนร่วม มีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค

เมื่อการเมืองเปิด นำมาซึ่งการพัฒนาก้าวหน้าทั่วด้าน

ต่อมาฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ดิ้นรนช่วงชิงอำนาจกลับคืนมา โดยการรัฐประหาร 2500 นำประเทศกลับสู่ยุคมืด

ไม่เพียงทำให้การเมืองกลับไปสู่มือของคนกลุ่มเดียว ทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนหดหาย ยังมีการจับกุมคุมขังปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า นักคิดนักเขียน หวังใช้อำนาจหยุดยั้งความคิดและการต่อสู้

แต่เมื่อประกายไฟแห่งเสรีภาพประชาธิปไตย จุดสว่างขึ้นมาแล้วตั้งแต่ 2475 ดังนั้น จึงมีคนรุ่นต่อมาก้าวเดินตาม ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเมืองที่เป็นของคนส่วนใหญ่ เพราะเชื่อในหลักที่ว่า ประเทศนี้เป็นของประชาชน

การต่อสู้กับอำนาจขุนศึกขุนนางของคนรุ่นต่อมา จึงดำเนินต่อไปในหลายรูปแบบ ขยายความคิดผ่านบทกวี เรื่องสั้น งานวรรณกรรม

ไปจนถึงเกิดขบวนการใต้ดิน โดยพรรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อนจะพัฒนาเป็นการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในปี 2508 กลายเป็นสงครามคอมมิวนิสต์ลุกลามไปทั่วประเทศ

ในส่วนของนักศึกษาปัญญาชนคนรุ่นใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเรียนรู้จากหนังสือแนวก้าวหน้า สวมวิญญาณเสรีชน เคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจรัฐบาลทหารถนอม-ประภาส

จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อันยิ่งใหญ่ แม้ทหารจะใช้ปืนจริงกระสุนจริงปราบปราม จนเลือดนอง แต่ประชาชนกลับไม่กลัวตาย สุดท้าย 3 ทรราชต้องหลบหนีจากประเทศไทย

เป็นการเบิกม่านประชาธิปไตยให้กับสังคมไทยอีกครั้ง

ระหว่างปี 2516 จนถึง 2519 เรียกว่าเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ขบวนการคนหนุ่มสาวมหาวิทยาลัยร่วมกับประชาชน กรรมกร ชาวนา ต่อสู้ทุกปัญหา เกิดเป็นขบวนการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่

จนฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองชักหวาดผวา ยิ่งเวียดนาม เขมร ลาว พ่ายแพ้ขบวนการคอมมิวนิสต์ทั้ง 3 ประเทศ ในปี 2518 ขณะที่สงครามคอมมิวนิสต์ไนไทยก็ลุกลามไปทั่ว

ขบวนการขวาจัดจึงก่อเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เพื่อกวาดล้างนักศึกษาฝ่ายก้าวหน้า นำประเทศกลับสู่เผด็จการอีกครั้ง

จาก 14 ตุลาคม 2516 ประชาธิปไตยเบ่งบานได้เพียง 3 ปี ถูกบดขยี้ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แล้วฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองก็ครองเมืองอีกหน

 

ขบวนการอนุรักษนิยมการเมืองถูกท้าทายอำนาจครั้งใหญ่ในยุคหลัง เมื่อสังคมไทยตื่นตัวจากเหตุการณ์ขับไล่รัฐบาลทหารในปี 2535 นำมาสู่การเรียกหารัฐธรรรมนูญฉบับประชาชน

รัฐธรรมนูญ 2540 เปิดโอกาสให้สถาบันพรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้น พร้อมกับการก้าวเข้ามาของทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ด้วยแนวคิดทันสมัย

ทักษิณได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เพราะนโยบายที่กล้าพลิกโฉมสังคม ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์

อันที่จริงทักษิณก็คือนายทุน เป็นนักธุรกิจ ไม่ได้มีประวัติเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่นักสู้ผู้มีอุดมการณ์ ไม่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม

เพียงแต่ทักษิณเดินแนวทางเลือกตั้ง แนวทางประชาธิปไตย และมีนโยบายทันสมัย ปลุกให้ประชาชนสัมผัสได้ว่า ประชาธิปไตย ทำให้คนมีส่วนร่วมและได้ประโยชน์จากนโยบายทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม

ทักษิณจึงกลายเป็นคนเล่นการเมืองที่ประสบความสำเร็จกว่าทุกนายกรัฐมนตรี จนเป็นการเขย่าอำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างไม่รู้ตัว ทำให้ต้องโดนจัดการ!

จึงเกิดม็อบอุดมการณ์ฝ่ายขวาออกมาขับไล่และนำไปสู่รัฐประหาร สูตรเดียวกันซ้ำกันถึง 2 ครั้ง คือ 19 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557

แต่เป็นการต่อสู้การปะทะกัน ที่ทำให้เกิดขบวนการประชาชนรากหญ้าคือ เสื้อแดง ซึ่งเคยถูกปราบ 99 ศพ ก็ไม่สลายไม่หายไปไหน เป็นขบวนการของคนชนบทที่ต้องเกรงขาม

พร้อมกับการกลับมาของขบวนการเยาวชนหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ชู 3 นิ้ว ที่ต่อสู้เพื่อรื้อโครงสร้างสังคม

แม้วันนี้สังคมไทยตกอยู่ในมือของขุนศึกขุนนางอีกหน

แต่เส้นทางการต่อสู้เปลี่ยนแปลงไปสู่เสรีภาพประชาธิปไตย อำนาจการเมืองต้องเป็นของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ของกลุ่มคนหยิบมือเดียว

แม้ทอดยาวมาแล้ว 90 ปี แต่ก็เป็นถนนสายที่ยังไม่สิ้นสุด ยังมีคนจำนวนมากเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่ขาดสาย!