ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถอดบทเรียนประชาธิปไตย 90 ปี เลือกตั้ง ’66 คือหมุดหมาย ‘ความเปลี่ยนแปลง’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ถอดบทเรียนประชาธิปไตย 90 ปี

เลือกตั้ง ’66 คือหมุดหมาย ‘ความเปลี่ยนแปลง’

 

“ความหวังที่จับต้องได้ที่สุด คือบัตรเลือกตั้งปี 2566 เป็นจริงที่สุดแล้ว” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงความหวังทางการเมือง-ประชาธิปไตยไทยในห้วงเวลานี้ เนื่องในโอกาส 90 ปี อภิวัฒน์สยาม 2475

ธนาธรระบุว่า ตลอด 90 ปี จนถึงวันนี้ความขัดแย้งในประเทศก็ยังดำเนินอยู่ ถ้าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ก็จะเห็นว่า ครั้งใดที่ประชาธิปไตยออกดอกออกผล เริ่มจะงดงาม ก็จะมีคนเริ่มตัดตอนมันไปทุกครั้ง ทำให้มันไม่สามารถเติบโตเบ่งบาน ยั่งยืน และปักหลักฐานที่มั่นคงลงสู่สังคมไทยได้ ดังนั้น ก็ต้องสู้กันต่อไป

ทำไมประชาธิปไตยไทยยังไปไม่ถึงไหน ทำไมถึงมีอุปสรรคขวากหนามตลอด? ประธานคณะก้าวหน้า มองประเด็นนี้ว่า การที่ให้อำนาจมาอยู่ในมือของประชาชน แล้วประชาชนเลือกตัวแทนของตนผ่านกลไกเสียงข้างมาก โดยการลงคะแนนตามระบอบ ที่ทุกคนเท่ากัน มี 1 สิทธิ 1 เสียง ย่อมทำให้มีฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ ไม่ว่าผลประโยชน์นั้นจะเป็นเรื่องอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าผลประโยชน์นั้นจะเป็นเรื่องอำนาจทางเศรฐกิจ เพราะฉะนั้น คน-กลุ่มคนที่เสียประโยชน์ จะเป็นแรงต่อต้าน แรงผลักดัน เป็นกลไกที่ทำให้ประชาธิปไตยไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้

เมื่อเราย้อนประวัติศาสตร์ ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่นและนานาประเทศ จะพบว่าพวกเขาใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปี กว่าจะสร้างค่านิยม บ่มเพาะค่านิยมคนเท่ากัน บ่มเพาะค่านิยมเรื่องอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ให้มันหยั่งรากลึกในสังคมได้

“เมื่อถามว่ามองมาตลอด 90 ปี ยาวนานหรือไม่ ผมรู้สึกว่าหนึ่งอย่างที่สำคัญมากๆ คือ การบ่มเพาะค่านิยมต่างๆ ลงไปในสังคมไทย ซึ่งที่ผ่านมาทำผ่านการศึกษา เพราะตราบใดที่การศึกษายังไม่ให้ความสำคัญของเรื่องนี้ คุณก็จะเสียไปอีก 1 เจเนอเรชั่นเลย ยกตัวอย่าง ถ้าการศึกษาคุณยังบ่มเพาะถึงการสนับสนุนวัฒนธรรมอำนาจนิยม บ่มเพาะให้คนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ของสังคม ไม่ตระหนักถึงสิทธิ เสรีภาพของตัวเอง คุณก็จะเสียไปอีก 1 เจเนอเรชั่น”

ฉุดรั้งสังคมไม่ได้อีกต่อไป

ธนาธรมองว่า สิ่งที่เขาทำเพื่อฉุดรั้งสังคมไทยไว้ ไม่ให้เดินไปข้างหน้า โดยการผลิตซ้ำ ค่านิยมและวาทกรรม ต่อต้านการเคลื่อนไหวของกาลเวลา ด้วยการปลูกฝังด้วยค่านิยมจารีต เรื่องอำนาจนิยม เรื่องการโอนอ่อนต่อผู้มีอำนาจ ทำให้ประชาชนไม่ตระหนักถึงพลังของตัวเอง ไม่ตระหนักถึงสิทธิ เสรีภาพที่ตนเองมี นั่นคือกลไกที่เขาควบคุมสังคมแบบนี้ได้

แต่อดีตที่ผ่านมาด้วยเพราะว่าไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีโซเชียลมีเดีย แต่วันนี้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การมีเทคโนโลยี โซเชียลมีเดีย คุณไม่สามารถปิดกั้นการเรียนรู้ของประชาชนได้อีก ไม่สามารถปิดกั้นการเข้าถึงข่าวสารข้อมูลได้อีก คุณไม่สามารถไล่ลบสิ่งที่มันอยู่ในอินเตอร์เน็ตได้ คุณไม่สามารถปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นในอินเตอร์เน็ตได้หมด กระแสมันกำลังเปลี่ยนไป

“ผมคิดว่านี่แหละจะเป็นตัวที่ทำให้การควบคุมความคิดของประชาชน ที่เคยใช้ได้ผลมาหลายสิบปี ใช้ไม่ได้ผลต่อไปในอนาคต”

ธนาธรย้ำว่าบทเรียนจากความเปลี่ยนแปลง ความสูญเสียในการเรียกร้องเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่เราไม่ต้องการผ่านอะไรใหญ่ๆ แบบนี้อีกแล้ว เราไม่ต้องการพฤษภา 2535 อีกครั้ง เราไม่ต้องการ 14 ตุลาอีกหน เราคิดว่ามันมีทางเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยได้โดยผ่านกลไกของรัฐสภา ซึ่งมันเป็นกลไกที่สันติที่สุด

“นั่นคือเหตุผลที่ผมมาตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพราะความเชื่อแบบนี้ว่า มันยังมีความหวังอยู่ มันยังมีความเป็นไปได้อยู่ที่จะสร้างประเทศไทย ที่เป็นประชาธิปไตยโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันอีก โดยกระทำผ่านกลไกรัฐสภา นั่นคือเจตจำนงของผมและปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ร่วมกันสร้างพรรคอนาคตใหม่มาในตอนแรก รวมถึงวันนี้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และชัยธวัช ตุลาธน พรรคก้าวไกล ก็มีความมุ่งหวังในเส้นทางนี้ว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยได้ โดยไม่ต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ อีก”

“สิ่งที่คณะก้าวหน้าเราพยายามทำในเวลานี้ ก็ต้องรณรงค์ไปเรื่อยๆ คือเรื่องปลดล็อกท้องถิ่น เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าใครเข้าใจโครงสร้างของการปกครองของประเทศไทยก็จะรู้ว่า การปลดล็อกท้องถิ่น คือการระเบิดพลังครั้งใหญ่ของสังคมไทย ถ้าทำได้สำเร็จประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งในระดับชุมชน ในระดับเมือง และประชาธิปไตยที่เข้มแข็งในระดับท้องถิ่นนี้เอง จะเป็นรากฐานของการพัฒนาประชาธิปไตยที่เข้มแข็งในระดับชาติ ดังนั้น ถ้าใครเข้าใจสิ่งที่พวกเราพยายามทำอยู่ ก็จะรู้ว่าการปลดล็อกท้องถิ่นเป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศไทยจริงๆ”

“ทั้งเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องการพัฒนาการสร้างงานให้กับประชาชน ทั้งเรื่องของการดูแลคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน บริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา สวนสาธารณะ ฟุตปาธ สวนเด็กเล็ก สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในอำนาจของท้องถิ่นหมดเลย ซึ่งจะเป็นการบ่มเพาะประชาธิปไตยให้มันเข้มแข็งตั้งแต่ในระบบท้องถิ่น ควบคู่กันไปกับความเข้มแข็งของประชาธิปไตยในระดับชาติ”

พัฒนาการประชาธิปไตย

ธนาธรบอกว่า ถ้าให้มองประชาธิปไตยเป็นเหมือนกราฟ ในจุดที่เราอยู่กันตอนนี้ คิดว่ากำลังจะใกล้จุดต่ำสุด

“ผมมีความหวังเป็นอย่างยิ่งนะครับ ว่าหลังจากนี้ไปกำลังจะโงหัวขึ้น กราฟประชาธิปไตยกำลังจะพุ่งขึ้นแรง ถ้าเป็นหุ้นก็ต้องซื้อตอนนี้เลย ถ้ามอง นี่คือจังหวะซื้อ ถามทำไม? ผมมองว่าการเลือกตั้งปี 2566 จะเป็นหมุดหมายของการเปลี่ยนแปลงจริงๆ”

“สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าผมมองว่าต้องรณรงค์ครับ ประชาชนทุกคนที่ต้องการเห็นประชาธิปไตย ต้องรณรงค์กันว่า พรรคการเมืองที่ฝักใฝ่เผด็จการ พรรคการเมืองที่เคยสนับสนุนเผด็จการ อย่าไปเลือกพวกเขา เพราะมันแสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาขาดแม้แต่สามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มันคือความล้มเหลวของสามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน Failure of Common Sense สามัญสำนึกพื้นฐานที่ถูกผิด ชั่วดี มันล้มเหลวไปหมด เพราะมีพวกเห็นแก่ผลประโยชน์”

“พรรคการเมืองอย่างนี้ อย่าไปเลือก พรรคการเมืองที่พร้อมเปลี่ยนจุดยืนตลอดเวลา เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายรัฐบาล อย่าไปเลือก แน่นอนที่สุดเขาอาจจะทำอะไรได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมันส่งผลเสียหายแก่ประเทศ ดังนั้น พ่อแม่พี่น้องทุกคนต้องช่วยกันรณรงค์ อย่าเลือกคนที่ฝักใฝ่เผด็จการ อย่าเลือกคนที่เคยสนับสนุนเผด็จการ ความหวังที่เป็นจริงที่สุดคือบัตรเลือกตั้ง ปี พ.ศ.2566”

ถ้ามีคนจะล้มกระดานอีก ธนาธรมองว่า ครั้งนี้จะจบไม่สวย จะจบไม่เหมือนเดิม จะไม่มีคนมารับมอบดอกไม้ จะมีคนต่อต้านทั้งแผ่นดิน “ดังนั้น อย่าทำเลยครับ ประเทศเสียหายเปล่าๆ มีคนบาดเจ็บล้มตายเปล่าๆ แล้วครั้งนี้ที่แน่ๆ ผมไม่ยอมคนหนึ่งแหละ”

“เพราะว่าพวกเขาไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง ที่ผ่านมารัฐประหารสำเร็จ เพราะว่าเขาสร้างกระแสความเกลียดชังทางการเมืองมาอย่างยาวนาน เขาสร้างผีทักษิณขึ้นมาอย่างยาวนาน ใช้เวลาหลายปีในการสร้างผีทักษิณ ทำให้คนไทยเกลียดชังกันเอง ทำให้คนไทยรู้สึกพร้อมที่จะทำร้ายกันเอง นึกออกไหมครับ แล้วที่มันชัดเจนมากก็คือ การกระทำต่างๆ เหล่านี้ วันนี้มันยังคงอยู่ เพียงแต่ว่า การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การเข้าถึงข้อมูลข้อเท็จจริง มันหลอกประชาชนไม่ได้ง่ายเหมือนเดิมแล้ว ทำให้ไม่สามารถให้ประชาชนหลงเชื่อได้ง่ายๆ เหมือนเดิม”

“นอกจากนี้ ยุคสมัยก็เปลี่ยนไป ไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองให้มีรัฐประหารอีก ผมยืนยันว่า รัฐประหาร 2549, 2557 ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นกับที่กองทัพมีรถถัง ความสำเร็จคือการที่เขาสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนสำเร็จ มีความชอบธรรมทางการเมือง ที่อ้างอิงจากอำนาจจารีตบางอย่าง ที่ทำให้รัฐประหารสำเร็จ วันนี้ความชอบธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ มันไม่เหลือที่ให้พวกเขาทำการรัฐประหารอีกครั้ง ดังนั้น ถ้าทำครั้งนี้ก็คิดว่าคงจะเห็นการต่อต้านของประชาชนครั้งใหญ่”

 

จากผีทักษิณ สู่ผีธนาธร-ปิยบุตร

ธนาธรบอกว่า “อย่างนี้นะ ไม่ว่าคุณจะชอบคุณทักษิณหรือไม่ก็ตาม เราต้องเข้าใจคุณทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรีมีคุณูปการ ทำให้การเมืองคือเรื่องการส่งมอบนโยบายแก่ประชาชนมันเป็นจริงได้ คือทำให้พรรคการเมืองมันแข่งขันกันที่นโยบายได้ ทำให้ 1 สิทธิ 1 เสียงของเขามีความหมาย คือลงคะแนนปุ๊บชีวิตมันเปลี่ยน เพราะนโยบายมันเปลี่ยน นี่คือคุณูปการของคุณทักษิณ แน่นอนที่สุด คุณทักษิณก็มีข้อผิดพลาดหลายประการในการบริหารงาน แต่ก็อย่าลืมว่าคุณทักษิณก็มีคุณูปการด้านนี้อยู่”

“ส่วนผีธนาธรที่มีความพยายามสร้างให้เกิดขึ้นนั้น ก็ต้องบอกว่า เป็นความตั้งใจอย่างเป็นระบบ ที่มีความตั้งใจที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของผม เพราะนั่นคือต้นทุนเดียวทางสังคมที่ผมมี ก็คือความน่าเชื่อถือ ผมต้องเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนว่า ขอให้กาลเวลาพิสูจน์ผม ดูผมที่การกระทำว่า ผมเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อต้องการหาผลประโยชน์ส่วนตัวไหม ว่าต้องการอำนาจชื่อเสียงหรือเปล่า ผมว่าให้เวลาพิสูจน์ ก็หวังว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนจะหนักแน่นเพียงพอที่จะไม่หลงเชื่อข่าวปลอมต่างๆ ที่คิดขึ้นมาทุกวัน เพื่อที่จะใส่ร้ายทำลายกัน”

ชมคลิป

https://www.youtube.com/c/MatichonWeekly