เมื่อไทยกลายเป็น ดินแดน ‘กัญชาเสรี’/เทศมองไทย

เทศมองไทย

 

เมื่อไทยกลายเป็น

ดินแดน ‘กัญชาเสรี’

 

ยามนี้ ผมเชื่อว่า มีผู้คนอีกมากมายหลายส่วนในสังคม กำลังสับสนดิ้นรนปรับทัศนคติ ปรับตัว ให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมใหม่ที่เกิดขึ้น เมื่อ “กัญชา” กลายเป็นพืชที่ “ปลูกได้ ขายดี” ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในเมืองไทย

ผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดรอบตัว ตั้งแต่เครื่องดื่ม ไอศกรีม คุกกี้ แกง เรื่อยไปจนถึงน้ำมันกัญชา

แม้จะมีคนอีกไม่น้อยที่ยินดี โล่งอก เมื่อสิ่งที่คาดหวังไว้ และเฝ้าทำความเข้าใจศึกษาคุณประโยชน์ของพืชเสพติดชนิดนี้มาช้านาน ทั้งในเชิงการแพทย์หรือในเชิงเศรษฐกิจ เกิดเป็นไปอย่างที่คาดหมายไว้

หรืออาจบางที “เกินกว่าที่คาดหมาย” ก็เป็นได้

 

เมื่อ โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบีบีซี ระบุไว้ในรายงานขนาดยาวของตนเอง เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์บีบีซี เมื่อ 21 มิถุนายนนี้ว่า ไทยกลายเป็นประเทศที่ “เปิดเสรีมากที่สุดในโลก” ในแง่ของกัญชา

ซึ่งโจนาธาน เฮด ย้ำว่า เป็นการก้าวกระโดดไปไกลมากอย่างยิ่ง จากแนวทางเมื่อราว 20-21 ปีก่อน ในยุคของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ผู้ประกาศนโยบายในการทำ “สงครามกับยาเสพติด” กวาดล้างผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติด ขณะหลับตาให้กับหลักการทางสิทธิมนุษยชน จนทำให้ผู้ต้องสงสัยหลายร้อยรายพลอยสังเวยชีวิต

เป็นการก้าวไปไกลมากจากบรรดาประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ ที่ โรดริโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีสืบทอด “สงครามกับยาเสพติด” ต่อมาในปี 2016

ในขณะที่สิงคโปร์และมาเลเซียยังคงโทษประหารชีวิตสำหรับผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นเหตุให้บรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายที่เดินทางมาท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ได้รับคำเตือนต่อเนื่องมายาวนาน ถึงโทษหนักจากคดียาเสพติด แม้ว่าจะถูกจับเพราะมีกัญชาอยู่ในครอบครองเพียงเล็กน้อยก็ตาม

ผู้สื่อข่าวบีบีซีชี้ว่า แนวทางกัญชาของไทยอาจเป็นแนวทางที่เสรีที่สุดในโลกก็เพราะว่า

“ในเวลานี้ทุกคนสามารถปลูกและบริโภคกัญชาได้มากเท่าที่ต้องการ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ก็เป็นข้อจำกัดเพียงสองสามประการในการทำตลาดและขายเท่านั้น”

 

โจนาธาน เฮด อ้างคำกล่าวของ ทอม เครือโสภณ หนึ่งในผู้บุกเบิกที่โน้มน้าวให้รัฐบาลเปลี่ยนแนวทางในเรื่องกัญชาไว้ว่า “ไทยเป็นชาติแรกในโลกที่ไม่มีใครถูกจับเข้าคุกเพราะปลูกหรือใช้กัญชาอีกต่อไป” ในขณะที่แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา การสูบในที่สาธารณะหรือการปลูกโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเอฟดีเอ มีหวังต้องลงเอยในตะราง

คำถามของบีบีซีก็คือ อะไรเป็นปัจจัยทำให้เกิดการหักมุมและ “นำไปสู่การที่รัฐบาลซึ่งนำโดยนายทหารหัวอนุรักษ์กลายเป็นผู้เปิดเสรีว่าด้วยกฎหมายยาเสพติดอย่างชนิดไม่น่าเป็นไปได้” ขึ้นมา?

โจนาธาน เฮด บอกว่า ส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยทางด้าน “การเมือง” เนื่องจากกัญชาเสรีกลายเป็นนโยบายที่เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของพรรคการเมืองที่มีอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้ามาตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2019

“(อนุทิน) เชื่อในประโยชน์ทางการแพทย์ของกัญชา ในขณะที่หวังว่ากฎหมายเปิดเสรีนี้จะช่วยให้ชาวไทยที่ยากจนสามารถปลูกเพื่อนำมาใช้ในการรักษาตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาเวชภัณฑ์ราคาแพงอีกต่อไป”

ในเวลาเดียวกัน ปัจจัยที่สองที่ผลักดันให้เกิดการเปิดเสรีกัญชาก็คือ เพื่อเปิดทางให้เกิดธุรกิจใหม่ บีบีซีได้รับคำบอกเล่าจากทอม เครือโสภณ ว่า กัญชาสามารถกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้สูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 330,000 ล้านบาทได้ภายในสามปีแรกเท่านั้น

“แต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากนั้นอีกมากจากการท่องเที่ยวกัญชา เมื่อผู้คนต่างพากันเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อการบำบัดและการรักษาที่ใช้สารสกัดจากกัญชา”

เป็นการก้าวล้ำหน้าบรรดาเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ที่หลายต่อหลายประเทศยังลังเลที่จะเจริญรอยตามแนวทางแบบเดียวกันของประเทศไทย

ปัจจัยที่สามในทัศนะของ โจนาธาน เฮด ก็คือ การคิดใหม่ในเรื่องการใช้แนวทางแข็งกร้าวต่อผู้ใช้ยาเสพติด ซึ่งระบุเอาไว้ว่า เริ่มต้นในไทยเมื่อ 7 ปีก่อน เมื่อครั้งที่รัฐบาลทหารยังคงปกครองประเทศ โดยให้เครดิต พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีตรัฐมนตรียุติธรรม ว่าเป็นคนแรกที่ประกาศชัดเจนเมื่อปี 2016 ว่า สงครามกับยาเสพติดนั้นล้มเหลว และจำเป็นต้องมีแนวทางใหม่ในการจัดการกับผู้ใช้และผู้เสพยาเสพติด

“ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายครั้งนี้ก็คือ ผู้ต้องขังมากกว่า 4,000 คน ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ได้รับอิสรภาพ”

 

อย่างไรก็ตาม โจนาธาน เฮด ชี้ว่า ดูเหมือนรัฐบาลไม่ได้เตรียมการพร้อมที่จะรองรับความกระตือรือร้นสนใจในกัญชาในทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นสูงมากแบบเฉียบพลันหลังจากการเปิดเสรีครั้งนี้ ในขณะที่ร่างกฎหมายเพื่อวางกฎเกณฑ์การใช้กัญชายังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

อย่างไรก็ตาม โจนาธาน เฮด สรุปเอาไว้ว่า การเปิดเสรีครั้งนี้เป็น “ก้าวที่กล้าหาญ” ของรัฐบาลไทย ในการเผชิญกับโลกใหม่ที่ไม่เคยคุ้นกันมาก่อน

ขณะที่ทั่วทั้งภูมิภาคกำลังจับตามองว่า ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจะก่อประโยชน์ให้คุ้มค่า สมราคาหรือไม่อยู่ในเวลานี้