บายพาส / ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ : หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ

หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC

 

บายพาส

 

“ธนินท์ เจียรวนนท์” แห่งซีพี ถือเป็นเจ้าพ่อ “ครบวงจร”

ทำธุรกิจอะไรก็ตามจะต้อง “ครบวงจร” ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

เป็น “ท่าไม้ตาย” ประจำตัว

ส่วน “อนันต์ อัศวโภคิน” แห่งแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นเจ้าพ่อ “เอาต์ซอร์ส”

ไม่ดึงงานทั้งหมดมาอยู่กับบริษัทตัวเอง

แต่ใช้วิธีจ้างบริษัทหรือคนนอกทำงานแล้วควบคุมคุณภาพ

“เอาต์ซอร์ส” กลายเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของคุณอนันต์

ถ้าทุกคนที่ประสบความสำเร็จล้วนมี “ท่าไม้ตาย” ประจำตัว

แล้ว “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ล่ะครับ

ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่มี “ท่าไม้ตาย” อะไร

ลองนึกดูสิครับว่า “ภาพจำ” ของ “ชัชชาติ” ในช่วงเวลาแค่ 20 กว่าวันมีอะไรบ้าง

ที่นึกได้เร็วๆ ก็ “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ที่เป็นสโลแกนหาเสียงของเขา

หรือรวบคำสั้นๆ เป็น “ทำงานหนัก”

“ชัชชาติ” ทำงานหนักมาก ไปทำงานเช้า ลุยดูปัญหาหน้างานตลอด

การลงไปดูหน้างานหนักกว่าการประชุมในห้องแอร์มาก

เขาทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด

ตอนที่มีคนชม “ชัชชาติ” ว่าการทำงานหนักเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

น้องคนหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กเลยว่า ถ้าการตื่นตีสี่มาวิ่ง ทำงาน 6 โมงเช้า ประชุมวันละ 3-4 งาน ลงลุยหน้างานร้อนๆ และไม่มีวันหยุด เป็นการทำงานตามมาตรฐานธรรมดา

เขาจะไม่ยอมทำงานมาตรฐานนี้ด้วยอย่างแน่นอน

เอ่อ…ผมด้วยครับ 555

นั่นคือ เรื่องแรกที่เป็น “ภาพจำ” ของ “ชัชชาติ”

 

เรื่องที่สอง คือ การลงลุยปัญหาหน้างาน

ไม่นั่งรอรายงานในห้องแอร์

แต่ลงไปลุยดูปัญหาจริงๆ เลย

การก่อสร้างสะพานล่าช้า ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อจากขุดท่อนำสายไฟลงดิน ปัญหากลิ่นจากโรงงานขยะ ฝนตกน้ำท่วม ไฟไหม้ ฯลฯ

เรื่องที่สาม เริ่มสร้างศรัทธา และความเชื่อ จากการทำงานเล็กๆ ให้สำเร็จ

ปัญหา “เส้นเลือดฝอย” ที่ “ชัชชาติ” พูดเป็นประจำ คือ เรื่องที่กระทบกับชีวิตประจำวันของคน กทม.มากที่สุด

กทม.ไม่มาเก็บขยะหน้าบ้านของเราที่มีนบุรี เป็นปัญหาใหญ่กว่าน้ำท่วมใหญ่ที่อุดมสุข

ปัญหาเส้นเลือดฝอย แก้ไขง่ายกว่าเรื่องใหญ่ๆ

เพียงแต่เจ้าหน้าที่ กทม.จะลงมาจัดการแก้ปัญหาหรือไม่

เมื่อ “ชัชชาติ” เปิดช่องให้คนแจ้งปัญหา และลงไปลุยหน้างานเองบางเรื่อง

ปัญหาที่ค้างคามานานก็แก้ไขเสร็จเรียบร้อย

พอทำแบบนี้สักพักหนึ่ง คนจะเริ่มเชื่อมั่นในตัว “ชัชชาติ”

เมื่อศรัทธาและความเชื่อเกิด

ต่อไปจะทำอะไรก็ง่ายขึ้น

เรื่องที่สี่ “ชัชชาติ” เป็นคนที่สื่อสารเก่งมาก

สรุปปัญหาได้เร็ว อธิบายได้ชัดเจน และบอกด้วยว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

การใช้คำก็ระมัดระวัง เช่น เรียกนักโทษที่มาลอกท่อว่า “ผู้ต้องขัง” ตลอด

ไม่มีคำว่า “นักโทษ” หลุดจากปาก “ชัชชาติ” เลย

คำที่ใช้ก็เป็นไปในทางบวก

ไม่ปะทะ

อย่างตอนที่เริ่มทำดนตรีในสวน อยู่ดีๆ กองทัพบกก็ส่งวงดุริยางค์กองทัพบกมาเล่นในสวนสาธารณะบ้าง

แต่ไม่มีคนดู

ในขณะที่กองเชียร์ “ชัชชาติ” เสียดสีด้วยความสะใจ

เขากลับให้สัมภาษณ์ขอบคุณกองทัพบก

จากนั้นก็นำโปรแกรมงานดนตรีในสวนของกองทัพบกมาช่วยประชาสัมพันธ์

เอาดอกไม้ไปมอบให้นักดนตรี และนั่งฟังดนตรีด้วย

แสดงท่าทีที่เป็นมิตรอย่างยิ่ง

แต่ภาพที่ออกมาก็คือ วงดุริยางค์กองทัพบกได้กลายเป็นวงดนตรีวงหนึ่งที่มาเล่นในงานดนตรีในสวนของ กทม.

แม้ไม่ได้ตั้งใจ

แต่คนรู้สึกแบบนั้น

 

คงมี “ภาพจำ” อีกหลายเรื่องสำหรับ “ชัชชาติ” ในช่วง 20 วันที่รับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.

แต่ไม่ถึงขั้นเป็น “ท่าไม้ตาย” ของเขา

แล้วอะไรคือ “ท่าไม้ตาย” ของ “ชัชชาติ”

สำหรับผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องวิธีคิดแบบ “บายพาส”

เขา “บายพาส” ตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งจนถึงการทำงานตอนเป็นผู้ว่าฯ กทม.

ตอนหาเสียงเลือกตั้ง “ชัชชาติ” ฉีกตำราการเมืองเล่มเก่าๆ

ตามปกติผู้สมัครของพรรคการเมืองต้องพึ่งพา “หัวคะแนน”

ส่วนใหญ่เป็น “ผู้นำชุมชน”

จากผู้สมัคร สู่ผู้นำชุมชนก่อนไปถึงชาวบ้าน

แต่ “ชัชชาติ” ไม่ใช้ระบบ “หัวคะแนน” แบบเดิม

เขาสร้างกลุ่มใหม่ขึ้นมาเรียกว่า “เพื่อนชัชชาติ”

บายพาสไปหาคนที่รักและศรัทธาในตัวเขาเลย

สร้างกลุ่มใหม่ขึ้นมาเพื่อช่วยกันคิดเรื่องนโยบาย และช่วยหาเสียง

ก่อนวันเลือกตั้ง เขามีกลุ่มเพื่อนชัชชาติอยู่ 13,000 คน

ทุกคนช่วยหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเอง

“บายพาส” ผ่านผู้นำชุมชนแบบเดิมไปเลย

และเมื่อรับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. เขาใช้ “เทคโนโลยี” มาช่วย “บายพาส” จาก “ประชาชน” ถึง “ผู้ว่าฯ กทม.” เลย

เช่น ดึงโปรแกรม “ทราฟฟี่ ฟองดูว์” มาใช้ ให้ประชาชนแจ้งความเดือดร้อนเข้ามาเลย

ปักหมุดให้ชัดเจน

เขตแต่ละเขตเห็น “ชัชชาติ” เห็น

แป๊บเดียวก็แก้ปัญหาได้

หรือวันนี้ที่เขาเอางบประมาณ และโครงการต่างๆ ของ กทม.เข้าระบบ เป็น “โอเพ่นดาต้า”

ใครจะเข้ามาดูก็ได้

ทะลุทะลวงท่อ เปิดไฟฉายส่อง

“บายพาส” ข้อมูลทุกอย่างให้ประชาชนเห็น

ใช้พลังของประชาชนเป็นหูตาสอดส่องแทนตัวเขา

หรือการ LIVE ผ่านเพจ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” เช่นกัน

คนดูสดๆ หลักหมื่นขึ้นไปจนถึง 4-50,000 คน

เมื่อรวมกับที่ดูย้อนหลัง มีคนดูแต่ละคลิปอย่างต่ำ 400,000 คน

สูงสุด 4 ล้านกว่าคน

คนฝั่งที่ไม่ชอบ จะบอกว่านี่คือ การประชาสัมพันธ์ตัวเอง

แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่คือ การสื่อสารแบบ “บายพาส”

ไม่ต้องพึ่งพาสื่อเป็นตัวกลางเหมือนในอดีต

แต่สื่อสารโดยตรงกับคน กทม.ได้เลย

คิดอะไร อยากบอกอะไร หรืออยากขอความร่วมมือเรื่องไหนก็บอกตรงกับคนดูได้เลย

ไม่ต้องผ่านตัวกลาง

“บายพาส” จึงเป็น “ท่าไม้ตาย” ของ “ชัชชาติ” •