“พงศ์พร” ยึดคืนเก้าอี้ “ผอ.พศ.” ผลงาน “เงินทอนวัด” การันตี เด้งไม่ครบเดือน “ครม.” ถอย [โล่เงิน]

ผ่านมาเกือบเดือนกับการเด้งฟ้าผ่า กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา

ครั้งนั้น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธว่า “ไม่ได้เด้ง พ.ต.ท.พงศ์พร แต่เพราะทำงานสำเร็จแล้ว ทั้งแก้ปัญหาเรื่องพระเรื่องวัด จึงย้ายมาใกล้ๆ นายกฯ ช่วยทำงานในเรื่องการปฏิรูปศาสนา ไม่ได้เป็นการลงโทษเลย”

พร้อมทิ้งท้ายว่า “ปรับย้ายแต่งตั้งด้วยคุณธรรม ใครไม่มีความผิดคืนให้เขา ตอนนี้ตำแหน่ง ผอ.พศ. หาคนที่เหมาะสมรักษาการแทนไปก่อน”

เป็นการย้ายพ้นตำแหน่ง ผอ.พศ. หลังจาก พ.ต.ท.พงศ์พร มานั่งในตำแหน่งดังกล่าวได้เพียง 6 เดือน ต่อจาก นายพนม ศรศิลป์ ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ โดยใช้อำนาจตาม ม.44 ให้นายพนมไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

และให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ มาเป็น ผอ.พศ.

เวลาครึ่งปีบนเก้าอี้ ผอ.พศ. ของ พ.ต.ท.พงศ์พร จัดว่าไม่ธรรมดา สางคดีสำคัญระดับประเทศแบบถึงลูกถึงคน ทั้งคดีวัดพระธรรมกาย และคดีทุจริตเงินทอนวัด ที่มีรายชื่อทั้งบิ๊ก อดีตบิ๊ก พศ. พาเหรดรับข้อกล่าวหา กับเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ป.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงนายพนม ท่ามกลางกระแสข่าวพระเถระผู้ใหญ่ไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.ท.พงศ์พร อยู่เนืองๆ

อย่างไรก็ดี หลัง พ.ต.ท.พงศ์พร รับทราบมติ ครม. ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในช่วงแรกเจ้าตัวมีท่าทีแข็งขืน ทักท้วงคำสั่ง โดยส่งหนังสือยิงตรงถึง นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล พศ. ในหลายเหตุผล อาทิ มิได้สมัครใจ และอาจทำให้ พศ. ซึ่งมีภารกิจกว้างขวางเสียหายได้ เป็นต้น

แต่สุดท้ายแล้ว พ.ต.ท.พงศ์พร จำต้องยอมอำลาเก้าอี้ ผอ.พศ. เข้ารายงานตัวกับ นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา

โฟกัสผลงานของ พ.ต.ท.พงศ์พร ครั้งเป็น ผอ.พศ. ร่วมคลี่ 2 คดีใหญ่ ทั้งคดีวัดพระธรรมกายที่ประสานกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จนมีการดำเนินคดีกับพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และบุคคลที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 365 คดี

อีกคดีสำคัญคือ “ทุจริตเงินทอนวัด” ที่ร่วมกับ ป.ป.ป. รวบรวมพยานหลักฐาน ส่ง ป.ป.ช. ไปแล้ว 2 ล็อตใหญ่

ล็อตแรก เป็นคดีทุจริตงบฯ อุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด 12 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2559 ความเสียหาย 60 ล้านบาท ผู้ต้องหา 10 ราย

ล็อตที่ 2 เป็นการทุจริตงบฯ อุดหนุน 3 ประเภท คือ 1.อุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 2.อุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3.อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา-แผนกธรรม-แผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2560 ความเสียหาย 140 ล้านบาท กระทั่งมีหลักฐานดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง 19 ราย เป็นฆราวาส 15 ราย อาทิ นายพนม นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ.

และข้าราชการ พศ. หลายราย

ส่วนพระเถระผู้ใหญ่ 4 รูป ที่สังคมกำลังจับตา

1. พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามฯ ป.ป.ป. ตรวจสอบใน 2 เรื่อง คือ 1.วัดมีการเรียกขอรับเงินทอนจาก พศ. หรือไม่ จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการเรียกรับเงินในนามวัด และ 2.เกิดจากการกระทำส่วนตัวของพระรูปหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ป. ตรวจสอบพบว่า ประมาณปี 2556 พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ได้รับการติดต่อจาก นายวสวัสดิ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ พศ. กรณีจัดสรรงบประมาณ 4.9 ล้านบาทและโอนมาให้พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ โดยนายวสวัสดิ์ขอรับเงินทอนคืน 4.8 ล้านบาท ทั้งนี้ นายวสวัสดิ์รู้จักกับพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ เนื่องจากนายวสวัสดิ์เคยบวชเณรที่ จ.อำนาจเจริญ และมาจำพรรษาอยู่กับพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ที่วัดราชสิทธาราม

2. พระราชรัตนมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม ป.ป.ป. สืบสวนสอบสวนพบว่า พระราชรัตนมุนี เคยเรียนมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) กับ นายณรงค์เดช ชัยเนตร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) สิงห์บุรี ต่อมามีการติดต่อขอจัดสรรงบประมาณไปที่วัดห้วยทรายขาว จ.พะเยา 3 ล้านบาท เป็นบ้านเกิดของพระราชรัตนมุนี โดยนายณรงค์เดช เป็นคนติดต่อและขอเงินทอนคืน 1.5 ล้านบาท

3. พระเทพเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดกวิศรารามฯ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี และเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เจ้าหน้าที่ ป.ป.ป. สืบสวนสอบสวนพบว่า ที่วัดกวิศรารามฯ เคยจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ต่อมามีหนังสือขอยกเลิกแผนกสามัญศึกษา ไปถึง พศ. คงเหลือแต่โรงเรียนปริยัติธรรมแผนกบาลี โดย พศ. อนุมัติยกเลิก ก่อนแจ้งให้กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) รับทราบ แต่หลังจากนั้นปี 2556-2557 ปรากฏว่ามีการจัดงบประมาณให้กับโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ทั้งที่ไม่มีแผนกดังกล่าวแล้ว โดยนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. อนุมัติงบประมาณ 3 ครั้ง ครั้งละ 10 ล้านบาท รวม 30 ล้านบาท โดยมีชื่อนายพนม ขณะเป็นรอง ผอ.พศ. นายบุญเลิศ โสภา อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร ผอ.กลุ่มการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ พศ. เป็นผู้เสนอเรื่องอนุมัติงบประมาณ

นอกจากนี้ จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า มีการนำงบประมาณดังกล่าวจำนวน 30 ล้านบาท รวมกับงบฯ บูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดอีก 8 ล้านบาท มาสร้างโรงเรียนมานิต 2 ตั้งอยู่ในที่ดินวัดกวิศรารามฯ โดยเป็นโรงเรียนสายสามัญ ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ ไม่เกี่ยวข้องกับ พศ.

และ 4. พระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าคณะอำเภอชนแดน ป.ป.ป. สืบสวนสอบสวนพบว่า พระครูกิตติพัชรคุณ รู้จักกับนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. มานาน โดยเมื่อครั้งนายนพรัตน์ เป็นรอง ผอ. เคยมาทอดกฐินที่วัดนี้ ทั้งนี้ ปี 2555 มีการโอนงบประมาณให้วัด 2 ล้านบาท และขอเงินทอนคืน 1.2 ล้านบาท โดยนำรถของ พศ. มารับเงินจำนวนดังกล่าวหน้าที่ว่าการอำเภอหนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์

จากนั้นปี 2558 หลังนายนพรัตน์ เกษียณแล้ว แต่ยังติดต่อไปยังพระครูกิตติพัชรคุณ โดยสอบถามว่ามีลูกศิษย์อยู่ที่วัดอื่นหรือไม่ โดยพระครูกิตติพัชรคุณ ติดต่อไปยังวัดโคกสารสัจจธรรม และวัดณาณเมธี ต่อมามีการโอนงบประมาณให้วัดลาดแค 3 ล้านบาท วัดโคกสารสัจจธรรม 3 ล้านบาท และวัดญาณเมธี 2 ล้านบาท รวม 8 ล้านบาท มีการขอเงินทอน 5,050,000 บาท

และปี 2559 มีการดำเนินการลักษณะเดียวกันกับวัดใน จ.นครสวรรค์ 3 วัด อนุมัติงบประมาณวัดละ 2 ล้านบาท รวม 6 ล้านบาท และรับเงินทอน 3 วัด รวม 1.5 ล้านบาท วัดใน จ.ตาก 3 วัด อนุมัติงบประมาณวัดละ 2 ล้านบาท รวม 6 ล้านบาท รับเงินทอนคืน 4.5 ล้านบาท และวัดใน จ.ชุมพร รวม 3 วัด วัดละ 2 ล้านบาท รวม 6 ล้านบาท รับเงินทอนคืน 5.2 ล้านบาท รวม 9 วัด ได้รับเงินทอนคืน 11.2 ล้านบาท

ล้วนเป็นผลงานด้านคดีที่ พ.ต.ท.พงศ์พร จัดเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนข้อมูล

และในวันที่ 26 กันยายน วันเดียวกับที่ ป.ป.ป. ส่งสำนวนทุจริตเงินทอนวัดล็อต 2 ให้ ป.ป.ช. ครม.มีมติเห็นชอบให้ พ.ต.ท.พงศ์พร กลับไปนั่งเก้าอี้ ผอ.พศ. เช่นเดิม และให้ นายมานัส ทารัตน์ใจ กลับไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เช่นเดิม

คล้ายเป็นคำตอบของประโยคที่ “บิ๊กตู่” เคยพูดไว้ว่า “ปรับย้ายแต่งตั้งด้วยคุณธรรม ใครไม่มีความผิดคืนให้เขา…”

จากนี้คงเห็นการปัดกวาดบ้าน ล้างขบวนการทุจริตหากินกับศาสนาอย่างเข้มข้น!!