ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์
นพมาส แววหงส์
THE WRATH OF GOD
‘พยาบาท’
กำกับการแสดง
Sebastian Schindel
นำแสดง
Macarena Achaga
Diego Peretti
Juan Minujin
นับแต่ครั้งโบราณกาลในประวัติศาสตร์โลก และจากหลักฐานที่มีการบันทึกไว้ มนุษย์พยายามสร้างระเบียบให้แก่สังคมด้วยการออกกฎข้อบังคับที่จะจัดการกับการกระทบกระทั่งและเบียดเบียนซึ่งกันและกันของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทรัพย์สิน
เมื่อเกือบสี่พันปีมาแล้ว มีการออกกฎหมายที่เป็นระบบความยุติธรรมซึ่งกำหนดและจารึกไว้โดยพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งกรุงบาบิลอนอันเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยุคโบราณ
เป็นกฎหมายซึ่งมีสาระสำคัญอย่างที่เรารู้จักกันว่า เป็นการกำหนดความเที่ยงธรรมของการลงโทษแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
นั่นคือ การชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายด้วยมูลค่าหรือลักษณะที่เสมอกัน
ไอเดียของความยุติธรรมเยี่ยงนี้มีอยู่ในการจัดระเบียบสังคมทั่วไปในโลกมาช้านาน ที่สำคัญคือปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล : หนังสืออพยพ (Exodus) ซึ่งถือเป็นกฎหมายของพระเจ้า ตามถ้อยคำที่โมเสสนำมาถ่ายทอดแก่พวกอิสราเอล
และยังมีอยู่ในกฎหมายของโรมันที่เรียกว่า lex talionis หรือ law of retribution (กฎหมายการชดใช้ผลจากการกระทำ) ซึ่งกำหนดบทลงโทษให้มีค่าเสมอกับการล่วงละเมิด เช่น ชีวิตจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต หรือบุคคลที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ก็จะต้องตายตกไปตามกัน
เป็นความคิดทำนองเดียวกันกับความคิดเรื่อง “ดาบนี้คืนสนอง” ของไทยเราเหมือนกัน
ความคิดที่สืบเนื่องอยู่กับเรื่องนี้ เป็นแนวคิดหลักที่อยู่ในหนังจากอาร์เจนตินาเรื่องใหม่ล่าสุดทางเน็ตฟลิกซ์ และอยู่ในอรรถาธิบายอันทรงภูมิของตัวละครหลักในเรื่อง
หนังเล่าเรื่องที่เกิดในปัจจุบันและย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในช่วง 12 ปีก่อนหน้า สลับกันไปมา ก่อนจะเดินหน้าพัฒนาเรื่องไปสู่ตอนจบอันอาจทำให้คนดูอัดอั้นตันใจจนยากจะทำใจ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินเรื่องก็ไม่ยากหรือซับซ้อนจนชวนสับสนนัก
เหตุการณ์เริ่มเรื่อง ณ ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าคือ ในงานเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียนนวนิยายชื่อดัง คลอสเตอร์ (ดิเอโก เปเร็ตตี) ในโรงละครโอเปราอันโอฬารท่ามกลางแขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติและสื่อมวลชนคับคั่ง คลอสเตอร์ถูกดึงตัวไปพบกับหญิงสาวคนหนึ่งบนระเบียงชั้นบนของโรงโอเปรา
และการพบปะอันลับหูลับตาใครๆ นี้ก็นำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งสร้างความตระหนกตกใจให้แก่ผู้คนที่อยู่ในโรงละครนั้น
ขอตั้งข้อสังเกตไว้นิดตรงนี้นะคะว่า หนังสือเล่มใหม่ของคลอสเตอร์มีชื่อว่า “โอดิลและโอเด็ตต์” ซึ่งเป็นตัวละครสองตัวจากบัลเล่ต์ที่เรารู้จักกันดีเรื่อง Swan Lake ของไชคอฟสกี โอเด็ตต์เป็นเจ้าหญิงที่ถูกสาปให้เป็นนางหงส์ขาว ส่วนโอดิลเป็นนางร้ายที่มาล่อลวงเจ้าชายในร่างของนางหงส์ดำ
นั่นคือหนังเปิดเรื่องด้วยประเด็นของความชั่วร้ายและความดีงาม อันผงาดคู่เคียงมาด้วยกันในลักษณะของขั้วตรงข้าม
ย้อนไปสู่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีก่อนหน้า
ลูเชียนา (มาคาเรนา อาคากา) เป็นนักศึกษาสาวที่ทำงานเป็นผู้ช่วยของคลอสเตอร์ งานหลักคือการพิมพ์ตามคำบอกของนักเขียนนวนิยายฆาตกรรมลึกลับ โดยช่วยค้นคว้าหาข้อมูลในโลกจริงให้ ขณะเดียวกันลูเชียนาก็เล่าเรื่องราวในชีวิตส่วนตัวให้เขาฟังพอควร อย่างเช่น ครอบครัวของเธอมีบ้านพักตากอากาศชายทะเล และพ่อแม่ของเธอมักฉลองครบรอบแต่งงานด้วยการทำพายเห็ดเป็นประจำ ฯลฯ
เธอยังเล่าอีกว่าพ่อของเธอเชี่ยวชาญเรื่องเห็ด และสอนเธอให้รู้จักเห็ดที่กินได้กับเห็ดที่เป็นพิษ รวมทั้งวาดภาพแยกแยะความแตกต่างให้เห็นอีกด้วย
ลูเชียนาเป็นที่รักของลูกสาวตัวน้อยหัวดื้อของคลอสเตอร์ และจากรูปภาพนักบัลเล่ต์ที่ประดับบ้านอยู่ คลอสเตอร์เล่าให้เธอฟังว่า เมอร์เซเดส ภรรยาของเขา เคยเป็นนักบัลเล่ต์ระดับดารานำ แต่ประสบอุบัติเหตุจนเต้นอีกไม่ได้ ซึ่งยังผลให้เธอเป็นโรคซึมเศร้าจนต้องถูกส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่พักใหญ่ กว่าจะออกมาใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวได้ไม่นาน
วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ลูเชียนาต้องลาออกจากงานไปกะทันหัน เพราะเธอโดนคลอสเตอร์เผลอใจไปล่วงเกินเธอเข้าโดยเธอไม่ยินยอม
เธอได้รับคำปรึกษาให้แจ้งความเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ และหนังสือถูกส่งไปที่บ้านของคลอสเตอร์ โดยที่ภรรยาของเขาได้เปิดอ่านก่อน อันทำให้เธอประสาทเสียจนหลุดโลกไปอีก
และนำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในครอบครัวที่คร่าชีวิตไปถึงสองชีวิต
นับแต่นั้น ลูเชียนาก็เจอเข้ากับโศกนาฏกรรมในครอบครัวของเธอ…ครั้งแล้วครั้งเล่า…ซึ่งทำให้เธอโยงเข้ากับการปรากฏตัวของคลอสเตอร์ในที่เกิดเหตุ…และเรื่องราวหลายหลากที่เธอเคยเล่าให้เขาฟังเมื่อครั้งยังทำงานให้เขา
เธอสูญเสียคนในครอบครัวไปทีละคนๆ รวมทั้งพี่ชายทั้งสองและพ่อ ขณะที่แม่ก็รอดตายจากพิษเห็ดอย่างร่อแร่ แต่ก็ต้องนอนรอความตายอยู่ในสถานพักฟื้น
เธอปักใจเชื่อว่าทั้งหมดเป็นการกระทำของคลอสเตอร์เพื่อแก้แค้นจากการสูญเสียลูกเมีย และไปหานักหนังสือพิมพ์หนุ่ม เอสเตบาน เรย์ (ฌวน มินูฌิน) เพื่อให้ช่วยเขียนเรื่องเปิดโปงคลอสเตอร์
เอสเตบานขอสัมภาษณ์คลอสเตอร์ ผู้ที่ใช้ภาษาและเหตุผลได้คล่องแคล่วฉาดฉานเยี่ยงนักเขียนผู้ปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างเก่งกาจ
รวมทั้งพูดถึงทฤษฎีความบังเอิญที่อะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากสถิติการโยนเหรียญที่จะออกหัวออกก้อยโดยไม่มีแบบแผน ตลอดจนไปถึงความเชื่อทางเทววิทยาว่าด้วยความยุติธรรมจากเบื้องบน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหนังว่า “เทวาพิโรธ”
ซึ่งคลอสเตอร์แจกแจงอรรถาธิบายโดยอ้างอิงจากคัมภีร์ศาสนา ว่าเป็นเรื่องการลงโทษจากสวรรค์ ซึ่งบางทีอาจจะดูเหมือนไม่ได้สัดส่วนกับความผิดที่กระทำไป
ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ ความยุติธรรมแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” เท่านั้น
นี่เป็นเหตุผลที่ชวนโมโหอย่างยิ่งสำหรับผู้เขียน และยิ่งทำให้ประจักษ์ว่ามนุษย์ผู้มีสติปัญญาชอบหาข้ออ้างให้แก่ความถูกต้องฝ่ายตนเอง แบบลากข้าง หรือเถียงข้างๆ คูๆ คืออะไรๆ ก็ลากเข้ามาหาตัวและทำให้ตนเป็นฝ่ายถูกต้องชอบธรรมทั้งนั้น
และแล้วก็ดูเหมือนว่าเอสเตบานจะหมดหนทางช่วยเธอจากเงื้อมมือมฤตยูของคลอสเตอร์ และในที่สุดแม่เธอก็ต้องจากไปจากอัคคีภัยที่ลุกไหม้บ้านพักคนชรา
เธอยังมองเห็นโยงใยว่านี่เป็นฝีมือของคลอสเตอร์อีกด้วย
ซึ่งทำให้เธอตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเสียสละครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเพื่อช่วยน้องสาวผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังเหลือในครอบครัวให้รอดพ้น
แต่ทว่าลูเชียนาช่วยน้องสาวได้จริงหรือ
หนังจบลง ณ จุดที่หนังทริลเลอร์ลึกลับเขย่าขวัญหลายเรื่องชอบจบลงแบบไม่ยอมให้คนดูได้รับความสาสมใจและอาจจะหัวเสียเสียด้วยซ้ำ นั่นคือ…
…ความชั่วร้ายเป็นฝ่ายมีชัย…
หลายคนดูจบแล้วคงอัดอั้นตันใจเหมือนผู้เขียนละค่ะ •
The Wrath of God