High-End Munich 2022 (จบ) / เครื่องเสียง : พิพัฒน์ คคะนาท

เครื่องเสียง

พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]

 

High-End Munich 2022 (จบ)

 

กลับมาที่เครื่องเด่นจากงานไฮ-เอ็นด์ที่เมืองมิวนิก เยอรมนี กันต่อนะครับ

ที่น่าสนใจถัดมาคือ Chord Ultima Pre 3 ที่ค่ายตั้งใจนำมาเปิดตัวในงานนี้นี่ละ เป็นอะนาล็อก ปรีแอมป์ ที่ต้องบอกว่าใหม่เอี่ยมถอดด้ามแบบใหม่หมดทั้งภายนอกและภายในจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบหน้าตากับรุ่นก่อนหน้า คือ Ultima Pre 2 ที่ออกมาเมื่อสองปีก่อนแล้ว ไม่เหลือเค้าเดิมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

โครงสร้างเครื่องขึ้นรูปด้วยอะลูมิเนียมคุณภาพสูงเกรดเดียวกับยานอวกาศ จัดวางแผงหน้าปัดแบบสมมาตรด้วยแผงวงกลมสามชุด กึ่งกลางเป็นแผงแสดงสถานะแบบหลายสี ขนาบด้วยปุ่ม Volume/IP ทางด้านซ้าย และปุ่ม Balance/AV ทางด้านขวา แผงหลังมีอะนาล็อก อินพุต ให้ 5 ชุด เป็นแบบ Balanced XLR 2 ชุด และแบบ Unbalanced RCA 3 ชุด โดยแยก AV Bypass Input ออกต่างหาก แผงวงจรภายในได้ถูกออกแบบให้ปิดกั้นการรบกวนในทุกกรณีที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งควบคุมการทำงานทั้งหมดด้วยไมโครโปรเซสเซอร์

ผู้ผลิตยืนยันว่า Ultima Pre 3 ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเพาเวอร์-แอมป์ได้หลากหลาย แบบไม่เกี่ยงประเภท และแบรนด์ แต่จะยอดเยี่ยมมากหากทำงานร่วมกับ Ultima Series ของตนเองที่มีทั้งแบบโมโน บล็อก และสเตอริโอ เพาเวอร์-แอมป์

Chord Ultima Pre 3 เปิดตัวด้วยราคา US$ 7,499 น่าสนใจตรงที่ถูกกว่ารุ่นก่อนแบบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว

 

Audio Research I/50 เป็นอีกเครื่องที่ได้รับการพูดถึงและถูกนำมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ เป็นอินติเกรตเต็ด แอมป์ อนุกรมใหม่ล่าสุดของค่ายสำหรับนักเล่นกลุ่ม Entry Level ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย สะดวก ให้ความเป็นดนตรีได้อย่างยอดเยี่ยมจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน เพื่อนำเสนอประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้ฟังอย่างแท้จริง

แม้จะเป็นเครื่องระดับเริ่มต้นของค่าย แต่ได้รับการเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการผลิต ด้วยมาตรฐานของเครื่อง Audio Research อย่างเคร่งครัด ที่สำคัญคือทุกเครื่องก่อนจะออกไปถึงมือผู้บริโภคจะต้องได้รับการฟังทดสอบจาก Warren Gehi, Sonic Designer ด้วย

ใช้หลอดสุญญากาศเบอร์ 6550WE สองคู่ที่คัดมาแบบ Matched Pair ทำงานร่วมกับหลอดเบอร์ 6922 อีกสามหลอด โดยออกแบบให้มีพอร์ตเพื่อเพิ่มโมดูลภาค Phono Stage และภาค DAC ได้ในอนาคต (ซึ่งจะมีตามออกมาภายในปีนี้อย่างแน่นอน) แผงด้านบนของแท่นเครื่องมีสวิตช์ Power พร้อมลูกบิดเลือกอินพุต และโวลุ่ม คอนโทรล ควบคุมระดับความดังเสียง ซึ่งให้ใช้งานง่ายและสะดวก มาพร้อมรีโมต คอนโทรล ที่ควบคุมการทำงานได้ครบทุกฟังก์ชั่น

ออกจะแปลกตาสำหรับเครื่องจากค่ายนี้ไม่น้อย เพราะมาด้วยสีสันสดใสที่มีให้เลือกถึง 6 สี เป็นการทำสีผิวแบบ Cerakote ซึ่งเป็นการพ่นด้วยเซรามิกป่นแล้วอบด้วยความร้อนสูง มีคุณสมบัติเด่นด้านป้องกันการเกิดสนิมได้เป็นอย่างดีที่ยากหาใดเทียมได้

ผลิตภัณฑ์เด่นลำดับถัดมาคือลำโพง Monitor Audio Concept 50 ซึ่งได้นำมาจัดแสดงแบบ Prototype หรือเป็นเพียงลำโพงต้นแบบ แต่ผู้ผลิตมั่นใจว่าจะสามารถออกสู่ตลาดได้ภายในปีนี้อย่างแน่นอน

Concept 50 เป็นแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของ Silver 100 Limited Edition ที่เพิ่งออกมาเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 50 ปี ของแบรนด์เมื่อไม่นานมานี้ และได้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นเรือธงลำใหม่ของค่าย ที่มีความมุ่งหมายในการนำเสนอความเป็นสุดยอดอย่างแท้จริงของการพัฒนาลำโพงโดยปราศจากการประนีประนอมใดๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งภายในห้องลองเสียงในงานนี้ ผู้ฟังต่างทึ่งไปกับ The Array ที่กอปรไปด้วยกลุ่มมิดเรนจ์ 6 ตัว ซึ่งจัดวางอยู่ในกรอบวงแหวน และทวีตเตอร์ MPD : Micro Pleated Driver อันโด่งดังที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะ ซึ่งได้ปรับปรุงขึ้นใหม่เพื่อนำมาใช้ใน Concept 50 ที่ได้ร่วมกันรังสรรค์แบนด์วิธให้กว้างยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ความลื่นไหลของเสียงที่ต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกันอย่างรื่นหู ขณะที่แต่ละตู้ใช้วูฟเฟอร์ขนาด 20 เซนติเมตร ถึงสี่ตัว จับคู่ติดตั้งหันหน้าเข้าหากันแบบ Force Cancelling ซึ่งวูฟเฟอร์ทั้งหมดอยู่ภายในโครงสร้างตู้เฉพาะที่ขึ้นรูปด้วยแร่หินอะครีลิก

และแม้ว่าที่เห็นจัดแสดงในงานจะเป็นลำโพงต้นแบบ แต่เชื่อว่าตัวจริงออกมาหน้าตาจะไม่หนีไปจากที่เห็นในรูปประกอบนี้อย่างแน่นอน

 

ที่น่าสนใจรายถัดมาคือ Mark Levinson ML-50 Monoblocs ซึ่งออกมาในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของแบรนด์ในปีนี้เช่นกัน และที่นำมาจัดแสดงในงานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดของค่ายที่นำมารวมกันเป็นซิสเต็ม อันกอปรไปด้วย No.5101 เครื่องเล่นแผ่นเสียง No.526 ปรีแอมป์ และ No.519 CD/Streamer ทั้งหมดทำงานร่วมกับชุดลำโพงมหากาฬอย่าง JBL Everest DD67000

และแน่นอนว่าที่เป็นสุดยอดของซิสเต็มย่อมหนีไม่พ้น ML-50 ที่มีราคาคู่ละ US$ 50,000 ซึ่งออกแบบในลักษณะ Fully Balanced มีขั้วต่ออินพุตให้เลือกใช้งานได้ทั้งแบบ Balanced XLR และ Single-Ended RCA พร้อมขั้วต่อสายลำโพงแบบพิเศษของมาร์กเองที่เรียกว่า Hurricane Binding-Post โดดเด่นด้วยวงจร Rectifier ที่เป็นแบบ Schottky ที่ได้มีการออกแบบใหม่ ซึ่งช่วยให้ค่าความต้านทานจากทรานสฟอร์เมอร์ไปยังตัวกรองคาปาซิเตอร์ลดต่ำลง ทำให้นอกจากจะมีค่าความเพี้ยนลดต่ำลงแล้ว ยังทำให้กำลังขับที่ระบุเอาไว้แบบ Class-A 20W, 8-Ohm เพิ่มมากขึ้น

โดยเมื่อเทียบเป็นการทำงานแบบ Class-A/B แล้ว จะสูงถึง 425W, 8-Ohm เลยทีเดียว

 

รายการถัดมาเป็นลำโพงที่ผู้รายงานข่าวบอกแทบอดใจรอไปฟังไม่ไหว นั่นคือ Dali Kore ที่มาพร้อมน้ำหนักตัวเกือบ 150 กิโลกรัม/ตู้ กับราคา 70,000 ปอนด์ ซึ่งให้ความประทับใจอย่างยิ่งทั้งรูปร่าง หน้าตา และสุ้มเสียงจากการทำงานของชุดตัวขับเสียงที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเวอร์ชั่นใหม่ของการนำ Wood-Fibre มาขึ้นรูปกรวยแบบ Cone ที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะของ Dali แต่ไหนแต่ไรมา และ Evo-K Hybrid Tweeter

เป็นลำโพงที่ผู้ผลิตบอกว่าได้รวมทุกสิ่งทุกอย่างของ Dali ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ เทคโนโลยี รวมทั้งนานานวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อนำมารวมเข้าไว้ใน Kore เพื่อให้เป็น State-of-the-Art ของลำโพงทั้งมวลอย่างแท้จริง และนำมาเปิดตัวในงานนี้โดยเฉพาะ

มีชุดหูฟังสองชุดที่ผู้รายงานบอกว่ารู้สึกสะดุดตากว่าใคร หนึ่งเป็นแบบครอบหู หรือ Over-Ears คือ T+A Solitaire T (US$ 1,600) จากค่ายที่รู้จักกันในฐานะผู้ผลิตเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ชั้นเลิศ เป็นหูฟังที่ทำงานในระบบไร้สายผ่านบลูทูธที่รองรับทั้ง LADAC และ aptX HD ใช้ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC : Active Noise Cancelling ใช้ทรานสดิวเซอร์ขนาด 42 มิลลิเมตร

ส่วนอีกชุด คือ Campfire Audio Trifecta (US$ 3,375) ซึ่งเป็นแบบ In-Ears หรือสอดเข้าหู ที่ดูดั่งอัญมณีชั้นดี เพราะมีโครงสร้างที่ใสให้มองทะลุเข้าไปเห็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ด้านในได้อย่างชัดเจน รวมทั้งไดรเวอร์แบบไดนามิกขนาด 10 มิลลิเมตร, สองตัว ที่วางหันหน้าเข้าหากันภายในห้องที่เปรียบได้กับ Acoustic Chamber ของโครงสร้างหลัก

ครับ, ก็นำมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นกระสาย คล้ายที่เห็นและเป็นไปอันคือความเคลื่อนไหวในแวดวงการนี้ •