บ้องสุดท้าย / เรื่องสั้น : โถ่เรบอ

เรื่องสั้น

โถ่เรบอ

 

บ้องสุดท้าย

 

ระหว่างรอเข้าเล่มหนังสือ รายงานสรุปผลการดำเนินงานประจำปี ในร้านย่านมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ผมนั่งเขี่ยจอโทรศัพท์ฆ่าเวลา ความนึกคิดชวนให้คะนึงถึงเพื่อนเก่าคนโน้นคนนี้ จึงวาดแผนการเดินทางไปเที่ยวหาเพื่อน

เพื่อนสมัยเรียนวิทยาลัยครูอุตรดิตถ์ เขาเป็นคนจังหวัดนราธิวาส ได้ข่าวคราวบ้างว่า มาเป็นเขยที่อำเภอสันป่าตอง ไม่ได้เจอะเจอกันยี่สิบกว่าปี แต่ยุคการสื่อสารสมัยนี้ ไม่ยากนักหากคิดจะติดต่อกัน ล้ำหน้ากว่าโทรศัพท์ได้ยินเพียงเสียง คือเฟซบุ๊ก ไลน์ บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ สามารถเห็นหน้ากันได้ แต่ผมอยากเจอเพื่อนตัวเป็นๆ

ผมคิดแผนการเอาไว้ จะแวะไปหาเพื่อนที่ทุ่งเสี้ยว อำเภอสันป่าตอง ชวนเขาไปกินอาหารใต้ รสมือพี่นักเขียนหญิง เสร็จแล้ว วกกลับขึ้นมา ไปหาเพื่อนอีกคนที่สวนป่าลุ่มน้ำแม่ตาช้าง แถวกฤษฎาดอย อำเภอหางดง

เมื่อเข้าเล่มหนังสือเสร็จเรียบร้อย ผมขับรถออกไปตามแผนที่วางไว้ในใจ ก่อนถึงอำเภอหางดง ผมแตะจอโทรศัพท์ที่วางตั้งอยู่หน้ารถไปที่ปุ่มรูปโทรศัพท์ สไลด์หน้าจอ แตะไปที่ชื่อเพื่อนที่จะไปหา สัญญาณดังออกจากลำโพงในรถไม่กี่ครั้ง เสียงเพื่อนทักทายเข้ามา จับใจความได้ว่า เขาขึ้นมาทำธุระแถวอำเภอหางดงพอดี ผมจึงเปลี่ยนใจจากไปกินอาหารใต้ เป็นนัดเจอกันที่กาดฝรั่งแทน

เรากินข้าวคุยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ถามไถ่ถึงเพื่อนคนโน้นคนนี้สมัยเรียน มีข้อมูลเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันมาทุกคน บอกเล่าถึงสภาพชีวิตของพรรคพวก แต่ละคนร่ำรวยเป็นใหญ่เป็นโตกันหมด

เหลือแต่ผมคนเดียวแหละที่พอใจกับชีวิตต๊อกต๋อยตามอัตภาพอยู่แถวบ้านเกิดบนดอย

 

แยกกับเพื่อนผมขับรถกลับออกมา ตั้งใจจะขึ้นไปหามิตรสหายที่เคยรู้จักกันในที่ชุมนุมสมัชชาคนจน หน้าทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนโน้น หลังแยกย้ายจากการชุมนุมในครั้งนั้น เขาขึ้นมาอยู่เชียงใหม่เปิดร้านเชื่อมอ๊อกเหล็ก แถวตำบลหนองควาย อำเภอหางดง อยู่พักใหญ่ กิจการไปไม่รอดเลยไปดูแลสวนให้กับผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง อยู่ที่ลุ่มน้ำแม่ตาช้าง

แต่ขณะขับรถมาถึงสี่แยกสะเมิง ผมกลับนึกถึงอาจารย์นักวาดภาพประกอบผู้ยิ่งใหญ่ ผมจึงขับรถตรงไปยังซอยวัดอุโมงค์ โดยแผนการใหม่เพาะขึ้นว่า จะแวะไปเยี่ยมคารวะท่านผู้เฒ่าศิลปินระดับชาติ

ผมขับรถเลียบคลองชลประทานเลยแม่เหียะ สายตาเหลือบไปเห็นป้ายร้านคนคุ้นเคย เด่นหราอีกฝั่งคลองผ่านแว้บเข้ามาในสายตาพอดี ความคิดจึงวาววาบ บอกกับตัวเองว่า ถ้าอย่างนี้ เดี๋ยวขากลับออกจากบ้านอาจารย์นักวาดฯ จะแวะร้านนั้น นานมาแล้วที่ไม่ได้เจอกับพรรคพวก พี่ๆ และจะไปรำลึกถึงพี่ใหญ่กวีล้านนาอิสระ ที่จากไป

ผมขับรถเข้าไปยังบริเวณบ้านอาจารย์ ภาพที่เห็น คล้ายบ้านหลังใหญ่ร้างผู้คนอยู่นาน ห้องทำงานของศิลปินใหญ่ประตูปิดล็อกด้วยลูกกุญแจสายยู แกลเลอรีที่เคยเปิดอ้าซ่า ขณะนี้คล้องสายโซ่ปิดล็อกแน่น ศาลาริมสระน้ำไร้ร่องรอยผู้คนมาเยี่ยมยาม เงียบเหงา ผมเดินไปดูนู่นดูนี่ ภาพความหลังที่เคยคุ้นชิน พร้อมกับความคิด สรรพสิ่งบนโลกเปลี่ยนผ่านไปตามกาลเวลา

ผมขับรถออกมาจากบ้านอาจารย์ เลียบคลองชลประทาน แวะเข้ามายังร้านที่ตั้งใจแวะ เจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผมถามหาเจ้าของสถานที่ ลับหลังไปเพียงชั่วครู่ พี่เจ้าของร้านโผล่ร่างแลบสูงใบหน้ารูปไข่มีหนวดเคราหร็อมแหร็มยิ้มออกมาที่ประตูหลังร้าน เชื้อเชิญพาผมไปยังหลังร้าน เดินลงพ้นบันได เป็นลานหญ้ามีห้องแถวทรงหมาแหงนหลังชิดกอไผ่แผ่กิ่งใบปกคลุมร่มรื่นตามแนวกำแพง เจอเข้ากับกวี นักร้องนักดนตรี

“เฮ้ย…” กวี นักร้องนักดนตรี ออกมาจากห้องแถวทักทายพร้อมเข้ามาสวมกอดกับผมอย่างคุ้นเคย แล้วพี่นักดนตรีผู้ผันตัวเองมาเป็นโปรดิวเซอร์ออกมาจากห้องแถวอีกคน เข้ามาทักทาย เสียงเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์ทั้งคำร้อง ดนตรี กำลังเปิดเสียงทิ้งไว้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ วนเวียนซ้ำๆ รอบแล้วรอบเล่า

“กำลังอัดเสียงกันอยู่” พี่เจ้าของสถานที่บอกเล่า

แล้วเราทั้งสี่คน ต่างกุลีกุจอหาเก้าอี้มานั่ง คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทั้งสามคนวิพากษ์วิจารณ์ บอกจุดขาดจุดเกินของเพลง ท่อนนั้นควรเพิ่มเสียง ท่อนนี้เสียงไม่เต็มโน้ต คำนั้นสั้นคำนี้ยาน และถามไถ่การถึงชื่อของเพลง ที่กำลังอัดเสียงอยู่

 

“มีกัญชา เอาไหม” โปรดิวเซอร์ถาม ผมตอบรับทันที ตั้งใจแต่แรกแล้ว มาที่นี่หวังลึกๆ เพื่อสิ่งนี้ ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาน่าจะสนองความตั้งใจผมได้ ผมคิดถึงความสุขหลังดูดกัญชา ผมจะไปนอนเคลิ้มที่สวนป่าของเพื่อนบนดอยลุ่มน้ำแม่ตาช้าง ไปนอนเพลินฟังเสียงนกเสียงลม

เมื่อผมเข้าไปในห้องบันทึกเสียง นอกจากมีโต๊ะคอมพิวเตอร์วางตั้งอยู่ มันเป็นทั้งห้องนอนห้องเก็บเครื่องดนตรี ครบครันเครื่องดีด สี ตี เป่า ทั้งพื้นบ้านและสากลวางระเกะระกะเกลื่อนห้อง

โปรดิวเซอร์หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากซอกใต้โต๊ะพร้อมกับกระป๋องไม้ไผ่ใบเล็กยื่นให้ ผมเปิดออกมีกัญชายำมาเรียบร้อยอยู่นิดหนึ่ง ผมนั่งตั้งท่า รับไฟแช็กจากมือโปรดิวเซอร์ แล้วแกก็เดินออกจากห้อง

ผมจีบผงกัญชาด้วยนิ้วโป้งนิ้วชี้นิ้วกลาง ยัดใส่จะงอยบ้อง จัดการกับมันเบาๆ ง่ายๆ ไปทีหนึ่ง

โปรดิวเซอร์กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง พร้อมทักทายถามว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วฉวยกระบอกบ้องไม้ไผ่จากมือผม จัดการไปหนึ่งทีเต็มๆ ผมเห็นโปรดิวเซอร์เล่นพ่นควันเป็นลำยาวออกจากปากดูเพลินตายิ่ง แกยื่นบ้องไม้ไผ่คืนมาให้ ลุกเดินออกจากห้องไป

ผมยัดผงกัญชาใส่จะงอยปริมาณปริ่มกว่าบ้องแรก จ่อปากเข้าปิดรูกระบอกบ้องกัญชา มือซ้ายประคองโคนบ้องอันเหมาะมือ มือขวาถือไฟแช็ก นิ้วชี้แช็กไฟกดปุ่มค้างไว้ ลนเปลวไฟลามเลียลงจะงอย ค่อยๆ ดูดลมจากในบ้อง เกิดเสียงลมปะทะกับน้ำระเบิดขึ้นราวกับเรือกำลังออกจากท่า ตาจ้องมองลงบนจะงอยบ้อง เห็นลูกไฟค่อยๆ ขยับหายเข้ารูจะงอยเล็กลงๆ ตามความเร็วแรงดูด จนสะเก็ดไฟเหลือเพียงเปลวไฟที่พุ่งตามเข้าไปในรูเล็กๆ นั้น ผมคลายนิ้วชี้ปล่อยปุ่มกด วางไฟแช็กลงกับพื้น ถอนปากออกจากบ้อง กลั้นควันไว้เต็มปอด จากนั้นค่อยๆ พ่นควันพุ่งออกจากปากเป็นลำยาว มองตามเพลินตา ควันค่อยๆ จางหายจนหมด เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าไปที่เดิม ลุกเดินออกจากห้องด้วยอาการยิ้มๆ มึนๆ เมาๆ สะลึมสะลือ

ผมมานั่งพักอยู่หน้าห้องอัดเสียง เพียงชั่วครู่ เริ่มคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ กังวลนั่นกังวลนี่ เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวไปเดี๋ยวมา หวาดหวั่น ลนลาน กลัวไปเรื่อยเปื่อย แล้วเริ่มมีอาการพะอืดพะอม ปากแห้งคอแห้ง ตัดสินใจเดินขึ้นไปที่เคาน์เตอร์ในร้าน ขอน้ำดื่มมาหนึ่งแก้ว กลับลงมาอยู่ที่หน้าห้องอัดเสียง เขาทั้งสามกำลังอยู่ในห้องอัดเสียงเพลง

ผมนั่งรออยู่หน้าห้องด้วยอาการไม่สู้จะดีนัก เมื่อพี่เจ้าของร้านออกมาจากห้องอัดเสียง ผมคุยกับแกแบบไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว พะว้าพะวงเรื่องโน้นเรื่องนี้จนนั่งไม่ไหว เอ่ยปากขอที่พักหลับนอนกับพี่เจ้าของร้าน ว่าจะนอนพักสักตื่น พี่เขาไปเปิดประตูห้องให้ผมนอน โปรดิวเซอร์ลากพัดลมมาเปิดให้ อาการมึนเมาหนักขึ้นเรื่อยๆ กังวลลุกลี้ลุกลนแล้วปวดหัวมึนหัวไปแทบทุกส่วนที่คิดได้

ขณะนอนเมาอยู่ในห้อง คอแห้ง หัวปวด หัวหมุน วิงเวียนไปหมด ความหวาดกังวล กลัวเรื่องโน้นเรื่องนี้ คิดแยกแยะ อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปต่างๆ นานา เดี๋ยวคิดเรื่องนั้นเดี๋ยวคิดเรื่องนี้ สลับไปสลับมา

แต่เป็นการคิดห้วนๆ ขาดๆ หายๆ มากไปทางความคิดพะวักพะวงกังวลหวาดกลัวหลอกหลอน

 

“กูจะช็อกตายไหม” คำถามเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมกลัวหนักขึ้นอีกเมื่อคิดถึงการตายของพริตตี้สาว ที่เคยเป็นข่าวโด่งดัง ถ้าผมช็อกตายในสถานที่แห่งนี้จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ

ผมยังตายไม่ได้ ผมคิดแข็งใจ แต่แล้วอาการเมาของผมมันหนักเกินไป เวียนหัว อยากอ้วก อยากอาเจียน ผมเปิดหน้าต่างบนหัวนอน แหงนหน้าออก อ้วกอาเจียน แต่สิ่งที่ออกมามีแต่ลมอันว่างเปล่า หันกลับลงคลานไปหาเหยือกน้ำดื่มที่วางไว้มุมห้อง ดื่มมันจนหมด แล้วกลิ้งตัวลงนอนได้เพียงชั่วครู่ ผมเหลือบเห็นที่บนโต๊ะ ยังมีน้ำเหลืออีกครึ่งขวด ลำคอผมยังแห้ง ยันตัวลุกขึ้นจัดการมันพร่องลงอีกครึ่ง แต่แล้วอาการมึนเมาของผมเริ่มหนักขึ้นอีกเรื่อยๆ

ทีนี้พอผมอ้วกสำรอกออกมาแต่ละที สิ่งที่ออกมาจากข้างในท้องผ่านลำคอมาพักชั่วครู่ในปาก ผมรับรู้รสชาติถึงความขม ความเค็ม ความร้อน ความเปรี้ยวปะปนกันไป อ้วกเสร็จล้มตัวลงนอน อาการวิงเวียน หัวหมุน ประเดประดังเข้ามาอีก ชวนให้ผมรู้สึกกังวล กลัวช็อกตายมากขึ้น

เมื่อความคิดความรู้สึกกังวลหวาดกลัวว่าร่างกายจะทนสู้กับฤทธิ์กัญชาไม่ไหวแล้ว ผมเป็นห่วงชีวิตของตัวเองขึ้นมา นึกถึงพระเจ้า แม้นึกไม่ออกว่า พระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ผมพยายามเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ดั่งที่ถูกพร่ำสอนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยามจิตใจอ่อนแอมักจะนึกถึงพระเจ้าเสมอ

ผมนึกอ้อนวอนขอชีวิตต่อพระเจ้า ผมยังอยากมีชีวิตในโลกใบนี้อยู่ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ผมยังไม่ได้เขียนมันออกมาเป็นตัวหนังสือ ผมอ้อนวอนขอชีวิตต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้ผมรอดตายจากการเมากัญชาในวันนี้

ถ้าผมรอดชีวิตกลับออกมา ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ผมยื่นข้อเสนอกับพระเจ้า

ผมกลัวตาย กลัวเรื่องราวที่ค้างคาอยู่ในความนึกคิดมลายไปกับความตายของผม ขอให้ผมรอดตายเถิด ผมจะทำมันให้แล้วเสร็จ ผมยื่นเงื่อนไข ต่อรองกับพระเจ้า แต่อาการเมา มึน หนักขึ้นมาเรื่อยๆ ระหว่างร่างกายกับความนึกคิด มันกำลังไม่ลงรอยกัน

ผมทนยื้อไม่ได้อีกต่อไป จึงแข็งใจสะลึมสะลือเดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ เพื่อให้อาการมึนเมาวิงเวียนทุเลาลงและกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง

 

กลับออกจากห้องน้ำมานั่งอยู่ตรงหน้าห้อง เห็นทั้งสามคนกำลังบันทึกภาพวิดีโอ ความมึนเมาเวียนหัวทำให้ผมอ้วกต่อหน้าต่อตาพวกเขา แล้วผมบอกกับพี่เจ้าของร้านว่า ผมไม่ไหวแล้ว ร้องขอน้ำดื่มและเรียกร้องก๋วยจั๊บญวนจากพี่เขา

เขาเห็นอาการของผม คงเข้าใจว่ามันหนักหนาสาหัสเอาการ จึงบริการผมเป็นอย่างดี และคงเป็นห่วงผมไม่เบาเช่นกัน

ในระหว่างที่ผมอยู่ในสมรภูมิสงครามเมากัญชา ดิ้นรนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ผมร้องขอชีวิตกับพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมกังวลเป็นห่วงถึงแนวคิดของตัวเอง ถ้าผมตายไปในสมรภูมินี้ ใครจะสานต่อความคิดความฝันของผมได้ ผมยังติดค้างพี่ชายในการเขียนหนังสือเมื่อนานมาแล้วหลายปี มันเป็นการเป็นหนี้ที่ผมคิดถึงมันมากกว่าหนี้ ถ้าผมตายในสมรภูมินี้ เรื่องที่อยู่ในห้วงความคิดของผม ใครจะเขียนต่อไปได้

แต่ขณะนี้ร่างกายของผมกำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นออกจากฤทธิ์เมากัญชา เมาอย่างวายร้าย ผมกังวลกับอาการของตัวเอง กลัวว่าที่ผมกำลังเป็นอยู่นี้ ไม่ใช่เป็นการเมากัญชาธรรมดา กลัวว่าน้ำครึ่งขวดที่ดื่มไปนั้นมันจะเป็นน้ำยาอะไรสักอย่างหรือน้ำผสมเหล้าหรือผสมยาพิษอะไรลงไปหรือเปล่า เพราะมันชวนให้ผมคิดว่า หลังจากที่ผมดื่มน้ำครึ่งขวดนั้นหมดไปแล้ว มันทำให้คอผมแห้งผิดปกติ

ผมดื่มน้ำแล้วคอแห้ง คอแห้งแล้วดื่มน้ำ ผมเลยคิดได้ว่า เอาล่ะ ทีนี้คิดทีละอย่างคิดทีละเรื่องดีกว่า ผมจะจัดการความคิดตัวเอง ด้วยการนอนให้ฤทธิ์กัญชามันทุเลาลงก่อน ส่วนถ้าน้ำในขวดนั้นมีพิษจริงหรือไม่ ค่อยว่ากันทีหลัง ว่าจะรักษาพิษที่เข้าไปในท้องนั้นอย่างไร แต่ในสมรภูมิสงครามนี้ยังคงดำเนินต่อไป จะยังไงผมก็ยังมึนเมา เวียนหัวอยากอ้วกอยากอาเจียน

และแล้วผมได้ร้องขอชีวิตต่อพระเจ้าอีกครั้ง โอ…พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ข้าพระองค์รอดตายจากสมรภูมิในสงครามเมากัญชานี้เถิด ข้าพระองค์ยังอยากเห็นไม้กางเขนยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนภูเขาแห่งนั้น ด้วยหนังสือเล่มนี้จะวางรากฐานไม้กางเขนบนภูเขา ข้าพระองค์ยังไม่ได้เขียนมันออกมา โอ้ พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ข้าพระองค์รอดตายจากสมรภูมินี้เถิด ข้าพระองค์จะได้ทำในสิ่งที่ได้ใฝ่ฝันเอาไว้…

ภาพภูเขาที่อยู่เบื้องตะวันตกของหมู่บ้านแม่ผาปู ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในภวังค์พร้อมกับไม้กางเขนตั้งเด่นสง่าอยู่บนภูเขาปอแปล่หลู่ แล้วเสียงเพลง The Old Rugged Cross ของ Alan Jackson ค่อยๆ แผ่วเสียงแว่วเข้ามาคลอเบาๆ ในห้วงลึก ให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปทีละนิดๆ ผมเห็นตัวเองพาพี่น้องสร้างไม้กางเขนขึ้นบนภูเขาปอแปล่หลู่กลายเป็นพื้นที่จิตวิญญาณ เหล่าพี่น้องคริสต์เตียนจากทั่วสารทิศต่างพากันมาขึ้นภูเขาปอแปล่หลู่ รำลึกถึงพระเยซู ที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนสละชีวิตเพื่อมนุษย์พ้นจากความผิดบาป

ในที่สุด ผมเผลอหลับไป สะดุ้งตื่นอีกที เมื่อได้ยินเสียงดนตรีจากร้านแว่วดังเข้ามา เหลือบไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝาห้อง

นี่มันเที่ยงคืนแล้ว •