ทางรอดอยู่ในครัว : ระหว่างงอกงามและร่วงโรย / ครัวอยู่ที่ใจ : อุรุดา โควินท์

ครัวอยู่ที่ใจ

อุรุดา โควินท์

ทางรอดอยู่ในครัว

: ระหว่างงอกงามและร่วงโรย

 

เผลอใจไม่นาน หลานชายไม่ใช่แค่เป็นหนุ่ม แต่เรียนจบแล้ว และกลับมาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่บ้าน เมื่อวาน เขาเพิ่งบอกฉันว่าพรุ่งนี้เขาจะเปิดร้าน ทำบุญเลี้ยงพระ

ฉันไม่แปลกใจที่วัยรุ่นเปิดร้านทำบุญเลี้ยงพระ น่าจะเป็นความคิดของพ่อแม่เขา ซึ่งชอบทำบุญ แต่ฉันออกจะประหลาดใจที่เขาบอกว่า พ่อกับแม่ไม่ได้มา เพราะติดงาน

“ป้าพูมามั้ยครับ” เขาถาม

ฉันหัวเราะ “มาสิ รอให้พระกลับก่อนนะ พอดีไม่ใช่สายบุญน่ะ”

เขายิ้มกว้าง “มากี่โมงก็ได้ครับ”

ฉันอาจไม่สนิทกับเขานัก แต่เรื่องหนึ่งที่ฉันแน่ใจก็คือ เขาเป็นหนุ่ม แต่ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งไม่ได้กล้าแกร่ง เพราะทั้งชีวิตแทบไม่เจอความกดดัน

เรียนจบ ยังไม่มีงานทำ พ่อกับแม่ก็ทำร้านให้ โอกาสที่เด็กหลายคนไขว่คว้ามาทั้งชีวิตน่ะ เขาได้มันมาแบบใส่พาน

ฉันจ้องตาเขา เห็นความหวั่นไหวบางอย่าง ซึ่งฉันเดาว่า คงเป็นเพราะพ่อกับแม่ของเขาไม่ได้มาวันเปิดร้าน

 

เช้านี้ฉันจึงตื่นแต่เช้า นัดแม่ค้าขนมไว้ โทร.สั่งขนมสองสามอย่างให้หลาน และ…เอาเถอะ ฉันจะไปช่วยเขาสักหน่อย

หลานบอกยายด้วย ไม่บอก ยายก็คงไป เพราะเขาคือหลานชายสุดที่รัก เสียตรงที่เมื่อวานยายไม่สบาย ฉันไม่แน่ใจว่าวันนี้แม่จะได้ไปให้กำลังใจหลานไหวมั้ย

“พูรู้สึกว่า…พูอยู่ตรงนี้ เพื่อจะเห็นการเริ่มต้น การงอกงาม และการร่วงลง” ฉันบอกเขา ยิ้ม “ของเด็กๆ และของแม่”

เราไม่ใช่ครอบครัวที่มีสายใยเหนียวแน่นเหมือนครอบครัวอื่น แต่ฉันก็รู้สึก มองเห็น และยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในสามสี่ปีให้หลัง

ฉันคือผู้อยู่ใจกลางความเปลี่ยนแปลง

“ให้ไปด้วยมั้ย” เขาถาม

“ไม่ต้องหรอก พูเอง ถ้าพ่อแม่เด็กๆ อยู่ พูก็ไม่ไป อีกอย่าง ถ้าพูเปิดร้าน พูคงไม่เลี้ยงพระ” หัวเราะ “ทำไมเราเป็นคนแบบนี้นะ”

“เราไม่เปิดร้านด้วยล่ะ” เขาว่า

“ถูกต้อง แต่เราทำอาหารทุกวัน เกือบทุกมื้อด้วย โดยเฉพาะมื้อเช้า”

พูดแล้วฉันก็เดินเข้าครัว

 

ฉันจะไม่ได้คิดว่าเช้านี้จะกินอะไร ทั้งไม่แน่ใจว่ามีอะไรทำกินได้บ้าง

อ้อ แล้วยังมีโจทย์สำคัญ คือต้องรวดเร็ว เพราะต้องรีบไปเปิดร้านเป็นเพื่อนหลาน

มีขนมปังอยู่ในตู้เย็น เผลอซื้อมา แผ่นใหญ่ยักษ์ เหมาะจะทำแซนด์วิซ หรือไม่ก็ปิ้ง ทาเนย โรยน้ำตาล กินกับไข่ลวก จบมื้อเช้าอย่างเรียบง่าย

ไม่ได้ เขาไม่ชอบขนมปังทาเนยโรยน้ำตาล

งั้นกลับมาที่แซนด์วิช ไส้แรกที่วาบในหัวคือไข่ต้ม โอเค ตั้งน้ำต้มไข่สามฟอง

ดูเหมือนโปรตีนจะน้อยไป ฉันจึงเปิดตู้เย็นพิจารณาโปรตีน

ไม่มีแฮม ไม่มีไส้กรอก อืม…ตอนเด็กๆ ฉันไม่ค่อยได้กินของพวกนี้หรอก แซนด์วิชน่ะ ถ้าไม่ไส้หมูหยอง ก็ไก่ต้ม

เฮ้ย มีอกไก่นี่ เอาล่ะ ตั้งหม้ออีกใบ ต้มไก่ให้สุก ใส่เกลือลงไปด้วย

ฉันจะทำแซนด์วิชสองชั้น ชั้นแรกเป็นไข่ต้ม อีกชั้นเป็นไก่

ไข่สุกก่อน รีบแกะเปลือกออก แล้วบดด้วยที่บดมันฝรั่ง ใส่เกลือลงไปนิด พริกไทยขาวหน่อย และมายองเนสให้มากพอ

อกไก่สุก ฉันจับฉีกเป็นเส้นเล็กๆ คลุกมายองเนสกับมัสตาร์ด

ขนมปังอุ่นด้วยการนาบกระทะดีงามสุด ข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่ม ทาเนยให้ทั่วถึงทุกแผ่น

วางขนมปังทาเนยแผ่นแรก โปะด้วยไข่บด แล้ววางขนมปังแผ่นที่สอง

ทีนี้ก็ถึงคราวไก่ฉีก ใส่ลงไปอีกชั้น ให้แน่ใจว่าหนาพอ ไส้ทั้งสองชั้นควรหนา เพราะขนมปังหนามาก

วางแล้วกดให้แน่น จากนั้นก็ตัดครึ่ง ใส่ลงจานครึ่งละใบ

เลือกจากสีสดใส ไหนๆ ก็อยากย้อนวัยเยาว์แล้วนี่

“โอ้โห จะกินหมดมั้ย มันเยอะนะ” เขาว่า

“อาจจะฝืดคอหน่อย แต่เราชงกาแฟแล้วนี่นะ” ยิ้มหวาน “ยังไม่เคยทำให้กิน แซนด์วิชไก่กับไข่ มาทั้งแม่และลูก โปรตีนเต็มๆ”

เป็นมื้อเช้าที่ไม่ใช่แค่ทำด่วน กินด่วน ฉันดื่มกาแฟเร็วมากด้วย กาแฟไม่ทันหมดแก้ว แม่ค้าขนมก็มากดกริ่งหน้าบ้าน

ฉันกระดกกาแฟ วิ่งไปรับขนม แล้วเดินเข้าร้านของหลาน ซึ่งรั้วติดกัน

หลานยิ้มแก้มแตก

“ป้าเอาขนมมา อร่อยมากนะเจ้านี้น่ะ”

“ขอบคุณคร้าบ” หลานว่า “พระยังไม่มา แต่ยายมาแล้วครับ” กระซิบ ชี้เข้าไปในห้องแอร์ “ร้องหาเค้กแต่เช้า บอกว่ายังไม่ได้กินยา ต้องกินเค้กก่อน ถึงกินยาได้” หลานฟ้อง

อย่างน้อยการงอกงามของหลานก็ช่วยพยุงความร่วงโรยของยายได้

“ค่อยยังชั่วแล้วเหรอแม่” ฉันถาม

พอเห็นฉันเดินไปใกล้ แม่รีบซ่อนขนมทันที

ฉันทำเป็นไม่เห็น แล้วแต่แม่เถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว •