เสียงจากชิงชิง คริษฐา ‘ถ้าวันนั้นเสพข่าวเยอะ เราอาจจะตายเลยก็ได้’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

เสียงจากชิงชิง คริษฐา

‘ถ้าวันนั้นเสพข่าวเยอะ

เราอาจจะตายเลยก็ได้’

 

ปัจจุบันชีวิตของชิงชิง-คริษฐา สังสะโอภาส อยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่าเงียบสงบ

เรื่องทุกข์ไม่พบ เรื่องดราม่าก็ผ่านมาได้โดยเรียบร้อย

เรื่องเดียวที่มีในวันนี้ คือความแฮปปี้ที่ละคร ‘คุ้งเสน่หา’ ออกอากาศมาแล้ว แฟนๆ ที่ได้ดูทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 18.45 น. ทางช่อง 7 HD ชอบใจ

“ได้รับการตอบรับดีเลยค่ะ” ชิงชิงผู้เป็น ‘มารศรี’ ที่แสนแซบ บอกพลางยิ้ม

“คนจะพูดเรื่องปาก ว่าปากจัดมาก จำบทมาด่าได้ยังไง ยาวมาก”

ซึ่ง “ไม่ยากค่ะ ใช้อินเนอร์ล้วนๆ” พูดแล้วก็หัวเราะ ก่อนทำเสียงจริงจังขึ้นเมื่ออธิบายว่า อันที่จริงคือการทำการบ้านมาอย่างดี แล้วพอมีเสียง 5 4 3 2 ตอนถ่ายทำ “เราก็ฉอดๆๆๆ”

การมารับบทผู้หญิงที่เชื่อสุดใจว่าฉันเป็นที่หนึ่งด้านความงาม เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มีความปากไว แบบพูดไปก่อนค่อยคิดทีหลัง ทั้งยังด่าผู้ชายได้ทุกคน ยกเว้นพระเอกลิเกที่ตัวเองเป็นติ่ง ชิงชิงบอกว่า บางครั้งบางคราก็รู้สึก “โอ๊ย…มารศรี เป็นขนาดนี้เลยเหรอ มั่นใจอะไรเบอร์นั้น” อยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามนี่เป็นงานที่สนุก และรู้สึกแฮปปี้ตลอดการถ่ายทำ

ในวัย 26 ปี เธอบอกว่า สิ่งที่รู้สึกชอบที่สุดในห้วง 7-8 ปี ที่อยู่ในวงการนี้ ไม่ใช่เรื่องของการได้เป็นนางเอกที่มีแฟนๆ คอยติดตามและให้กำลังใจหนาแน่น แต่เป็นเรื่องของการได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่ในชีวิตจริงไม่น่าจะมีโอกาสได้ทำ

อย่างเช่น การขับรถมอเตอร์ไซค์ ที่ถ้าไม่ใช่เพราะในละครกำหนดไว้ ก็คงยังขับไม่ได้

“ไม่อยากให้เขาต้องใช้สแตนด์อิน หรือต้องถ่ายรับหลายครั้ง เลยไปฝึก” คือเหตุผล

เช่นเดียวกับการจับงู, การขี่ควาย รวมไปถึงการลงบึงบัว ตอนตี 3 ฯลฯ

ส่วนเรื่องไม่ชอบ หลังใช้เวลาคิดทบทวนชั่วครู่ ก็ให้คำตอบว่าดูเหมือนจะไม่มี เพราะที่อาจจะรู้สึกบ้างก็เป็นเรื่องของคน เรื่องการสื่อสาร หากก็เล็กน้อยจนไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหา

สําหรับเรื่องข่าวที่นักแสดงหลายคนต้องผจญ และก่อนหน้านี้เธอเจอมาหนัก เพราะถูกเข้าใจผิด คิดว่าไปเป็นมือที่ 3 จนนำไปสู่การเลิกราของเวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ กับเบลล่า-ราณี แคมเปน ชิงชิงบอกว่าที่ผ่านมาได้ เพราะเลือกใช้วิธีปิดการรับรู้

“ตอนนั้นไม่เสพข่าว รู้สึกว่าถ้า ณ วันนั้น เสพข่าวจากข้างนอกเยอะ เราอาจจะตายเลยก็ได้ อาจจะเครียด อาจจะโอ๊ย…ทำไงดี”

“คือเป็นคนเครียดอยู่แล้ว เป็นคนที่สามารถทำให้เรื่องเล็กๆ ที่ไม่มีอะไร ให้เป็นเรื่องได้อยู่แล้ว เพื่อนเลยบอกไม่ต้องเปิดมือถือ ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องสนใจ คือเพื่อนอ่านแล้วเพื่อนเครียดไง”

“คนที่ไม่รู้จักเรา เขาจะมองเราแบบนึง แต่คนที่รู้จักเรา จะรู้ว่าไม่มีอะไร”

ตอนเกิดเหตุเธอจึงตัดสินใจอยู่ในเซฟโซน กับครอบครัวและเพื่อนๆ

“เลยไม่รู้จริงๆ ว่าโดนด่าอะไร ใครพูดถึงแบบไหน แทบจะไม่รู้เลย”

ที่รู้ก็แค่จากคำเพื่อนที่ว่า “ด่าแรงมาก” เท่านั้น

จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่ครั้งนั้นที่ชิงชิงเลือกปล่อยผ่าน ไม่เสพ หรือถ้าต้องเสพก็เลือกเสพแต่น้อย เพราะหลักหนึ่งซึ่งเธอยึดปฏิบัติมาตลอดคือ

“ทุกอย่างที่เป็นพลังงานลบ จะไม่ค่อยเอามาใส่ในชีวิต จะรับแต่พลังงานบวก พลังงานลบคัดเอาไว้ให้อยู่รอบๆไป ไม่ให้กระทบกับเราเยอะ”

“รู้สึกว่าชอบให้ชีวิตตัวเองแฮปปี้ ไม่ชอบมีเรื่องเครียด”

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า แม้การเลือกเสพดังกล่าวจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิต สุขภาพใจ แต่ในอีกด้าน ก็อาจมีคนคิดว่าเธอเป็นคนไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่

“แค่รู้สึกไม่อยากเสพอะไรที่บั่นทอนตัวเรา”

“พอมีอะไรที่คิดว่าจะบั่นทอน ก็จะแบบ…ไม่เป็นไร เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นยังไง รู้อยู่แล้วว่าเราทำอะไร เราเชื่อตัวเรา ว่าเราเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้”

“ถ้าแคร์ทุกคนบนโลก คงปวดหัว เราแคร์ทุกคนบนโลกไม่ได้ จะแคร์แค่คนที่ใกล้ชิดมากๆ จริงๆ อันนั้นจะเซนซิทีฟมาก คือแค่พูดนิดเดียวก็ร้องไห้แล้ว สมมุติแม่พูดว่า ชิง แม่ว่าอันนี้ไม่โอเคนะ เราก็จะทำไมล่ะแม่ เกิดอะไรขึ้น แล้วเดี๋ยวแป๊บนึงก็ร้องไห้แล้ว”

ที่อ่อนไหวขนาดนั้น ชิงชิงบอกว่าเป็นเพราะคำสั้นๆ คำเดียว คือ ‘รัก’ รักครอบครัว เพื่อน รวมไปถึงแฟนคลับ ดังนั้น พอมีอะไรที่ทำให้คิดว่าเธออาจจะสร้างพลังงานลบให้พวกเขา จึงรู้สึกเสียใจ แล้วก็ตามมาด้วยการเสียน้ำตา

 

ในแง่ของงาน ชิงชิงบอกว่ารู้สึกยินดีกับทุกสิ่งที่เป็นอยู่

“ถ้ามองเรื่องการประสบความสำเร็จ รู้สึกว่าประสบความสำเร็จในมุมที่ตั้งใจไว้ อยู่มาได้จนทุกวันนี้ โอเคแล้ว แฮปปี้แล้ว”

“อะไรที่ได้มากกว่านี้คือเป็นกำไร”

“จริงๆ ไม่ได้คาดหวังที่จะมาอยู่ในวงการตั้งแต่แรกด้วยค่ะ” คนที่เคยฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตสบอก

“แต่เหมือนเป็นโอกาสที่ได้รับมา แล้วอยู่มาได้ แค่นี้ก็รู้สึกว่าซัคเซส”

และจะรู้สึกดีไปยิ่งกว่านั้น ถ้า “ได้อยู่ไปตลอด ได้มีผลงานออกมาเรื่อยๆ”

คือความในในของชิงชิงผู้มีความฝันครั้งใหม่