เปิดแผนล่าหนุ่มโหด เพื่อนสนิทลงมือฆ่า หมกบีเอ็มฯ หรู 4 ศพ หนีคดีไต้หวันมาไทย/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

เปิดแผนล่าหนุ่มโหด

เพื่อนสนิทลงมือฆ่า

หมกบีเอ็มฯ หรู 4 ศพ

หนีคดีไต้หวันมาไทย

 

เป็นอีก 1 คดีฆาตกรรมโหดที่แม้เกิดขึ้นในต่างแดน แต่ก็อยู่ในความสนใจในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจากทั้งผู้ลงมือและเหยื่อล้วนเป็นคนไทย แถมการลงมือก็โหดเหี้ยมด้วยการสังหาร 2 สามีภรรยา และลูกแฝดในครรภ์ รวมแล้วถึง 4 ชีวิต

หมกในรถยนต์หรูทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟความเร็วสูงที่ไต้หวัน ก่อนจะหลบหนีคดีกลับมายังประเทศไทย

ไม่เพียงแค่นั้นยังสร้างความตกตะลึงว่าผู้ก่อเหตุกับเหยื่อมีความสนิทสนมกันมายาวนาน เป็นเพื่อนของครอบครัวที่เหมือนเป็นญาติ

แต่ก็ยังลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้

ก่อนที่เรื่องจะเปิดเผยขึ้นด้วยความพยายามประสานจากไต้หวัน เพื่อขอข้อมูลและให้ช่วยจับกุมตัวกลับไปดำเนินคดี

นำมาซึ่งการออกหมายจับ สั่งตรวจตราปิดพรมแดน เพื่อล่าตัวฆาตกรโหดรายนี้ให้ได้

แม้ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจะหลบหนีข้ามแดนไปต่างประเทศแล้วหรือไม่ แต่ทุกอย่างก็ต้องพยายาม

เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสีย!!!

ผู้เสียชีวิต

ฆ่า 4 ศพหมกรถที่ไต้หวัน

เหตุการณ์ดังกล่าวเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา โดย พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ (ผบก.ตท.) เปิดเผยว่า ได้รับการประสานขอความร่วมมือจากตำรวจไต้หวัน ในการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุฆ่า 2 สามีภรรยา รวมลูกแฝดในท้อง 4 ศพ ทิ้งท้ายรถ BMW X4 บริเวณลานจอดรถสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวนในไต้หวัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา

โดยผู้ก่อเหตุเป็นเพื่อนสนิท สันนิษฐานเกิดจากปมความขัดแย้งในเรื่องการกู้เงินและผลประโยชน์ รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับจัดหาแรงงาน จนเป็นเหตุนําไปสู่คดีฆาตกรรม

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุหลบหนีกลับมาที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังเป็นข่าวดังและสะเทือนขวัญที่สุดในไต้หวันขณะนี้ เบื้องต้น พูดคุยกับผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจไต้หวันแล้ว ยืนยันตำรวจไทยและไต้หวันมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน หากมีการร้องขอให้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุก็จะมีการพิจารณาติดตามจับกุมให้ ในหลักต่างตอบแทน เนื่องจากไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.ระบุว่า เบื้องต้นทราบแล้วว่าผู้ก่อเหตุชื่อนายสันติ และต้องตรวจสอบว่า ผู้ก่อเหตุสละสัญชาติไทยไปแล้วหรือไม่ เนื่องจากได้รับแจ้งข้อมูลว่าปัจจุบันผู้ก่อเหตุได้ถือสัญชาติไต้หวันด้วย แต่ยังพบว่าผู้ก่อเหตุยังคงถือหนังสือเดินทางของไทย

ทั้งนี้ รายงานจากสื่อไต้หวันระบุว่า ผู้เสียชีวิตทั้งคู่แซ่หลี่ ภูมิลำเนาอยู่ในกรุงไทเป เป็นเจ้าของธุรกิจที่ลงทุนตั้งบริษัทจัดหาคนงานเข้ามาทำงานในไต้หวัน ร่วมกันกับนายหวัง หรือนายสันติ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจการ

ทั้งหมดนั้นเดิมทีเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยฝ่ายหญิงเกิดเมื่อปี 2529 และเดินทางมาอาศัยที่ไต้หวันกับมารดาจึงยื่นขอสัญชาติไต้หวัน รู้จักกับผู้ต้องสงสัยเนื่องจากเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเมื่อสมัยอยู่ที่ไทย ต่อมาสมรสกับฝ่ายชายที่เป็นคนไทยเมื่อปี 2561 ฝ่ายชายจึงได้บัตรผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่

วันเกิดเหตุวันที่ 8 มิถุนายน ทั้ง 3 คนเดินทางมาพบกันที่หอพักของคนงานในเขตตู้เฉิง กรุงไทเป เพื่อคาดจะมาพูดคุยเรื่องเงิน แต่เกิดขัดแย้งกันรุนแรงเรื่องค่าตอบแทน ตำรวจสันนิษฐานว่านายหวังอาจไม่พอใจที่มีตำแหน่งเหมือนเป็นเพียงลูกน้องและเงินเดือนน้อยเกินไป ทำให้นายหวังลงมือสังหารคู่สามีภรรยาแซ่หลี่และนำศพไปซุกซ่อนไว้ในท้ายรถ ก่อนจะขับรถคันดังกล่าวไปจอดทิ้งแล้วหลบหนี โดยเรียกแท็กซี่ตรงไปยังสนามบินทันทีในช่วงเช้ามืด

ทั้งนี้ ตำรวจเจอศพก็เพราะได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าได้กลิ่นเหม็นคละคลุ้งและพบของเหลวคล้ายน้ำเหลืองไหลออกมาจากท้ายรถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวคันดังกล่าว

สำหรับผู้เสียชีวิตนั้นตำรวจพบอยู่ท้ายรถ สภาพศพนั้นศีรษะมีบาดแผลฉกรรจ์และถูกคลุมด้วยถุงพลาสติก นอกจากนี้ ฝ่ายหญิงที่เสียชีวิตยังตั้งครรภ์เป็นฝาแฝดอายุ 5 เดือน

บีเอ็มคันหมกศพ

เป็นการฆ่าสยองรวดเดียว 4 ศพ!!!

แฉปมโหดฆ่าล้างหนี้

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบข้อมูล จนทราบว่าผู้เสียชีวิตทั้งคู่ที่ระบุว่าเป็นสามี-ภรรยาแซ่หลี่นั้น ฝ่ายชายคือนายประเสริฐ โนราษ ชาว จ.อุบลราชธานี และฝ่ายหญิงคือ น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ และยังมีเหยื่อที่เป็นทารกฝาแฝดในครรภ์อายุเพียง 5 เดือนรวมอยู่ด้วย

ขณะที่คนร้ายคือนายสันติ หรือหวัง ศุภอภิรตีไพลิน อายุ 35 ปี ที่ตำรวจไต้หวันระบุว่า นายหวัง หรือนายสันติ เดินทางกลับไทยไปแล้วผ่านทางท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวนด้วยสายการบินสตาร์ลักซ์ แอร์ไลนส์ เที่ยวบินที่ JX741 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายหวังนำรถยนต์ของผู้เสียชีวิตไปจอดทิ้งไว้ในลานจอดรถใกล้สถานีรถไฟความเร็วสูงเมืองเถาหยวน

สำหรับสาเหตุการสังหาร นอกจากเรื่องความขัดแย้งทางธุรกิจ นายยิ่งยศ แซ่หลี่ อายุ 38 ปี พี่ชาย น.ส.พจนีย์ ก็ให้ข้อมูลกับตำรวจ บช.ภาค 5 ระบุว่า นายสันติผู้ต้องสงสัย สนิทสนมกับน้องสาวเพราะโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก และไปทำงานเป็นล่ามกับน้องสาวที่ไต้หวันประมาณ 2 ปี

ที่ผ่านมาไม่ทราบว่ามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน แต่คาดว่าเป็นเรื่องหนี้สิน โดยก่อนเกิดเหตุ ประมาณเวลา 20.00 น. วันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา น้องสาวโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศกลับมาปรึกษาเรื่องนายสันติหยิบยืมเงินไป 800,000 บาท และสร้อยคอทองคำรูปพรรณน้ำหนักกว่า 10 บาท

ต่อมาอีกฝ่ายอ้างกับน้องสาวว่าเงินและทองทั้งหมดถูกคนงานขโมยไป แต่น้องสาวไม่เชื่อ จึงเตือนให้ระวังนายสันติให้ดีก่อนจะวางสายไป หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเขามีเรื่องทะเลาะอะไรกันอีก ก่อนจะมาทราบข่าวว่าน้องกับครอบครัวถูกฆ่าอย่างโหดร้าย

นอกจากนี้ ยังเปิดเผยว่ามีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายสันติและแรงงานไทยในไต้หวัน กล่าวหาว่าน้องสาวตนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย เป็นมาเฟีย ค้ายาเสพติด ค้าแรงงานข้ามชาติ จึงจำเป็นต้องฆ่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เชื่อเป็นความพยายามสร้างหลักฐานเท็จ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเป็นการฆ่าเพื่อล้างหนี้ เพราะที่ทราบนายสันติมีหนี้สินกว่า 20 ล้านบาท เฉพาะของน้องสาวตนก็กว่า 4 ล้านบาทแล้ว

ขณะที่การสอบสวนนักธุรกิจคนหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ก็ให้การว่า ตัวผู้ตายและผู้ต้องสงสัยสนิทสนมเป็นอย่างดี โดยผู้ต้องสงสัยเคยประกอบอาชีพทำทัวร์มาก่อน ต่อมาร่วมลงขันกับผู้ตายปล่อยเงินกู้ให้กับชาวไทยในไต้หวัน ช่วงแรกธุรกิจดำเนินไปด้วยดี แต่สุดท้ายเกิดปัญหาขึ้นมา คาดกลายเป็นความขัดแย้งจนก่อเหตุสังหารโหดครั้งนี้

คาดจะเป็นสาเหตุการณ์สังหารโหด!!

คนร้ายขณะหลบหนี

ออกหมายจับล่า-จับตาชายแดน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ที่ได้รับการประสานก็เร่งติดตามข้อมูล จนทราบว่านายสันติหลังจากกลับมาประเทศไทย ก็เดินทางไปที่ภูมิลำเนาที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ โดยมีชาวบ้านให้เบาะแสว่า เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน เห็นนายสันติกลับมาอยู่บ้าน ไปรับส่งลูกที่โรงเรียน ก่อนหายตัวไป

ด้าน พล.ต.ต.วีระชน บุญทวี รอง ผบช.ภาค 5 ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน บก.สส.บช.ภาค 5 ประสานตำรวจ สภ.ไชยปราการ เข้าตรวจค้นบ้านพักผู้ต้องสงสัย แต่ยังไม่พบตัว เบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาจหลบหนีข้ามชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติไปกบดานในฝั่งเพื่อนบ้านแล้ว

นายสุชาติ อายุ 63 ปี พ่อของนายสันติ ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ ซึ่งนายสุชาติเปิดเผยว่า ลูกชายขับรถกลับมาถึงบ้านเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ และนอนอยู่ที่บ้านกับลูกๆ อีก 2 คน ตอนเช้าได้ออกไปส่งลูกที่โรงเรียน

ตอนลูกชายกลับมาก็ยังไม่ทราบถึงข่าวที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นลูกชายออกไปตอนไหนก็ไม่รู้เลย พอทราบเรื่องนี้ก็ถึงกับเข่าอ่อนไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น ถ้าถามความรู้สึกพ่อ ตนยังไม่เชื่อ อยากฝากว่าถ้าลูกได้ดูข่าวให้ออกมามอบตัว เพราะตอนนี้ก็ติดต่อลูกไม่ได้เช่นกัน

โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ระบุว่า พนักงานสอบสวนได้ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ซึ่งศาลอนุมัติหมายจับเรียบร้อยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

และถึงแม้ว่าจะเป็นการกระทำผิดนอกราชอาณาจักร แต่เนื่องจากผู้กระทำผิดเป็นคนไทย และหลบหนีกลับมาเข้ามาอยู่ในประเทศ รวมถึงพ่อแม่หรือลูกของผู้เสียชีวิตได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ จึงสามารถดำเนินการตามกฎหมายไทยได้ปกติ ไม่จำเป็นต้องส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ไต้หวัน ตามหลักข้อกฎหมายอาญา มาตรา 8 (ก) “ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร และผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษฯ”

ทั้งนี้ ให้ทีมสืบสวน กก.1 บก.ป. และ กก.4 บก.ป. ร่วมกันลงพื้นที่สืบหาเบาะแส พร้อมประสานหน่วยงานต่างๆ เฝ้าระวังชายแดนติดต่อประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อว่าอาจยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศ

ไล่ล่าเอาตัวมาลงโทษให้ได้!!!