ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
สงครามยูเครน
เข้าสู่ ‘ยุทธการยืดเยื้อ’
สงครามยูเครนเข้าสู่เดือนที่ 4 ทำให้เริ่มมีการใช้คำว่า “สงครามยืดเยื้อ” หรือ War of attrition กันอย่างกว้างขวาง
เพราะเริ่มมีความหวั่นกลัวกันว่าการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกนั้นอาจจะลากยาวไปอีกหลายเดือน
หรืออาจะเป็นปี
เข้าข่าย “ยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อ” หรือ Attrition warfare ซึ่งเคยมีตัวอย่างในประวัติศาสตร์มาแล้ว
อันว่า “ยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อ” นั้นย่อมแปลได้ว่าคือความพยายามที่จะบดขยี้ความสามารถของคู่ต่อสู้ในการทำสงครามอย่างต่อเนื่อง
เป้าหมายถึงทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง “สึกกร่อน” ไปก่อนฝ่ายตน
วิธีการที่จะเอาชนะด้วยยุทธวิธีเช่นนี้คือการมุ่งทำลายทรัพยากรทางทหารของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่หยุดยั้ง
ไม่ว่าจะด้วยวิธีรบแบบกองโจรหรือสงครามประชาชน
หรือยุทธการ “เผาทุกอย่างที่ขวางหน้า” (Scorched-Earth tactics)
รวมไปถึงการสู้รบทุกประเภท
ยกเว้นยังไม่ถึงจุดเด็ดขาด…ยังไม่อาจ “เผด็จศึก” ได้
นักยุทธศาสตร์ทางทหารบางคนเรียกมันว่า “ยุทธการสร้างความอ่อนล้าของฝ่ายปรปักษ์”
ฝ่ายที่มองว่าตนเองเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดอาจจงใจทำสงครามยืดเยื้อเพื่อขจัดข้อได้เปรียบของคู่ต่อสู้
แม้ว่า “ซุนหวู่” เคยกล่าวไว้ว่าไม่มีประเทศใดได้ประโยชน์จากการทำสงครามที่ยืดเยื้อ แต่รัสเซียในปี ค.ศ.1812 ก็ใช้วิถีแห่ง War of attrition เอาชนะสงครามกับนโปเลียนมาแล้ว
สงครามในยูเครนเข้าสู่เดือนที่ 4 แล้ว
ไม่มีฝ่ายไหนสามารถประกาศชัยชนะได้
กองกำลังรัสเซียคิดว่าจะควบคุมส่วนใหญ่ของเมือง Severodonetsk ทางตะวันออก
เมืองนี้อยู่บริเวณชายขอบด้านตะวันออกของแนวรบยูเครน
ประธานาธิบดีเซเลนสกีบอกว่าการการปะทะกันในเมืองนี้เป็น “ศึกชี้เป็นชี้ตาย” ของแนวรบด้านตะวันออก
การต่อต้านของยูเครนต่อทหารรัสเซียถูกจำกัดอยู่ในเขตอุตสาหกรรมทางตะวันตกสุดของเมือง
มีการประเมินกันว่า “กำไรสุทธิ” ของรัสเซียในยูเครนตะวันออกระหว่างกลางเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นเพียง 450 ตารางกิโลเมตร
ทั้งนี้ ตามรายงานของ Rochan Consulting บริษัทที่ติดตามสงคราม ทั้งรัสเซียและยูเครนไม่อยู่ในฐานะที่จะ “เผด็จศึก” ได้อย่างเด็ดขาด
ต่างหวังที่จะบดขยี้อีกฝ่ายในสงครามยืดเยื้อนี่แหละ
ฝั่งข่าวกรองตะวันตกอ้างว่ารัสเซียต้องเผชิญกับความสูญเสียหนักมาก
โดยอ้างว่าพอถึงเดือนพฤษภาคม กองกำลังรัสเซียได้หดหายเหลือประมาณ 58% ของกำลังก่อนสงคราม
ข่าวกรองตะวันตกอ้างด้วยว่ารัสเซียได้รับความเสียหายด้านอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
เช่น สูญเสียรถถังไปอย่างน้อย 761 คัน หรือเท่ากับหนึ่งในสามนับตั้งแต่เริ่มเปิดสมรภูมิ Donbas ทางตะวันออกเมื่อวันที่ 18 เมษายนปีนี้
นักยุทธศาสตร์ทางทหารบอกว่ารัสเซียกำลังส่งยุทโธปกรณ์เก่าเข้าสู่สนามรบ
มีการพบซากรถถัง t-62 ซึ่งเริ่มเข้าประจำการตั้งแต่ปี 1961 และมีการปรับปรุงยกเครื่องในช่วงทศวรรษ 1980 ที่แนวรบ Donbas ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้
แต่ทหารยูเครนก็บาดเจ็บและล้มตายไม่น้อย
ประธานาธิบดียูเครนยอมรับว่าทหารยูเครนเสียชีวิตวันละ 60 ถึง 100 นาย และได้รับบาดเจ็บอีก 500 นายต่อวัน
อัตราการสูญเสียเทียบได้กับการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่สองกันเลยทีเดียว
มีคำถามว่าฝ่ายไหนจะ “อึด” กว่ากันหากสงครามถูกลากยาวไปอีกหลายเดือน…หรือนานกว่านั้น?
คำตอบก็คืออยู่ที่ฝ่ายไหนสามารถป้อนกำลังคน อุปกรณ์และกระสุนได้อย่างต่อเนื่อง
และฝ่ายไหนจะสามารถรักษาขวัญและกำลังใจของนักรบของตนได้ดีกว่ากัน
ว่ากันว่าจนถึงขณะนี้ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ยังปฏิเสธที่จะระดมกำลังพลสำรองและเกณฑ์ทหารทั่วประเทศ
แต่ก็มีหลักฐานว่ากระทรวงกลาโหมรัสเซียกำลังพยายามชักชวนผู้มีประสบการณ์ทางการทหารให้กลับมาด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะจ่ายเงินตอบแทนก้อนโต…ประมาณ 5,000 ดอลลาร์ต่อเดือน-ซึ่งเท่ากับ 6 ถึง 8 เท่าของเงินเดือนผู้หมวดโดยเฉลี่ยของกองทัพรัสเซียปกติ
ฝั่งยูเครนมีปัญหาอีกแบบ มีคนมาสมัครที่มีแรงจูงใจพอสมควร แต่ขาดครูฝึกที่ประสบการณ์ที่จะส่งให้ออกไปปฏิบัติการในสนามรบได้ทันกับความต้องการ
หนึ่งในคนที่ติดตามเรื่องนี้คือ Konrad Muzyka ผู้ก่อตั้ง Rochan Consulting เขาบอกว่าจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมกองกำลังติดอาวุธของฝั่งยูเครนสูงมาก
มีรายชื่อรอคิวอยู่นานกว่าหนึ่งเดือนก่อนจะได้รับการมอบหมายให้เข้าทำการรบ
สะท้อนว่าในอย่างนั้นในระยะสั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างกองพลน้อยใหม่ 6 ชุดเพื่อให้มีนักรบรุ่นใหม่ 25,000 นายเข้าสู่แนวรบสู้กับรัสเซีย
ตัวเลขนี้มาจากเจ้าหน้าที่ยูเครนที่ให้สัมภาษณ์ Financial Times เป็นตัวเลขของหน่วยรบที่ยูเครนจำเป็นต้องสร้างขึ้นมาอย่างเร่งด่วนเพื่อเปิดเกมตอบโต้ครั้งใหญ่ในปฏิบัติการยึดครองดินแดนทางตะวันออกและใต้ที่ฝ่ายรัสเซียรุกอย่างหนักในขณะนี้
สำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นได้รับมาอย่างเร่งด่วนจากอเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรป
ประเทศต่างๆ เหล่านี้ส่งปืนใหญ่ กระสุน และอาวุธอื่นๆ ไปยังยูเครนในช่วงเดือนที่ผ่านมา
สหรัฐ อังกฤษ และเยอรมนี ยังให้คำมั่นสัญญาด้วยว่าเครื่องยิงจรวดจะสามารถโจมตีได้ไกลกว่าระบบปืนใหญ่ถึงสามเท่า
แต่อาวุธประสิทธิภาพสูงเหล่านี้อาจจะมาถึงไม่ไวพอที่จะหยุดยั้งการพิชิต Severodonetsk ของรัสเซียและเมืองใกล้เคียง เช่น Lysychansk
ซึ่งเป็นเมืองที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีไปเยี่ยมด้วยตนเองเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน เพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจทหารของตน
เพราะกระทรวงกลาโหมสหรัฐบอกว่าจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฝึกกองกำลังยูเครนในการใช้เครื่องยิงจรวดรุ่นใหม่ที่มีรัศมีการยิงไกลขึ้นและสามารถเคลื่อนตัวได้คล่องแคล่วกว่าเดิม
แต่ถ้าสงครามยืดเยื้อไปหลายเดือนหรือหลายปีตามที่เจ้าหน้าที่ของอเมริกาและยุโรปคาดการณ์ไว้ อาวุธจากข้างนอกเหล่านี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เดิมทหารยูเครนใช้อาวุธยุทโธปกรณ์มาตรฐานโซเวียตบางประเภทหรือที่ใกล้เคียงกัน
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้บอกว่าคลังกระสุนในอดีตรัฐในสนธิสัญญาวอร์ซอ เช่น โปแลนด์ก็กำลังจะหมดสภาพแล้วเช่นกัน
หากกองทัพของยูเครนสามารถเปลี่ยนไปใช้อาวุธมาตรฐานของนาโตได้ ก็จะช่วยให้ประเทศตะวันตกรับประกันการที่จะหนุนส่งให้ทหารยูเครนตั้งรับทหารรัสเซียได้ดีขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญในภาคสนามคนหนึ่งบอกว่า “แม้ว่าดุลยภาพทางการทหารใน Donbas ดูเหมือนจะเอื้อต่อรัสเซีย แต่แนวโน้มโดยรวมของความสมดุลทางการทหารยังคงสนับสนุนยูเครน
แต่นั่นมีความหมายซ่อนเร้นว่าทหารยูเครนจะยังสู้สงครามยืดเยื้อได้หากตะวันตกไม่เจอกับอาการ “ล้าสงคราม” (war fatigue) เสียก่อน
คนใกล้ชิดประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐเชื่อว่าชุดความช่วยเหลือมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ประธานาธิบดีลงนามเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม จะช่วยให้ “ความช่วยเหลือทางทหารระดับสูง” ดำเนินต่อไปได้จนถึงเกือบสิ้นปี
แต่ในทางปฏิบัติ ทั้งสองฝ่ายอาจจะต้องการ “หยุดยิงชั่วคราว” เพื่อพักรบและตั้งหลักใหม่
แต่ดูเหมือนโอกาสที่ทหารทั้งสองฝ่ายจะมีจังหวะหยุดหายใจเพื่อชาร์จแบตเตอรี่มีน้อยมาก
เพราะการสู้รบในหลายๆ จุดก็ยังดำเนินต่ออย่างร้อนแรง
นายปูตินมีความเห็นในทางถากถางตะวันตกว่าคงไม่มีเรี่ยวแรงอึดได้นานนัก
เพราะเขาเชื่อว่ายุโรปจะแตกกันเอง และจะมีเรื่องระหองระแหงกับอเมริกาด้วยในแง่ยุทธศาสตร์
ยิ่งต้องเจอกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อ และการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจในวงกว้างก็อาจจะทำให้โลกตะวันตกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียก่อน
แต่นายกรัฐมนตรีของเอสโตเนีย Kaja Kallas ก็เตือนว่าโลกตะวันตกประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
เขาอ้างกรณีที่รัสเซียบุกเข้าจอร์เจียในปี 2008 รวมถึงข้อตกลงมินสค์ที่เจรจาโดยฝรั่งเศสและเยอรมนีหลังจากการรุกรานยูเครนครั้งแรกของรัสเซียในปี 2014 ที่จบไม่สวยสำหรับนาโต
“เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่ยาวนาน” เขาย้ำ
แต่ปัญหาก็คือคำว่า “ยาวนาน” ในทีนี้ไม่มีใครบอกได้ว่ามันหมายถึงเดือน, ไตรมาส หรือปีนั่นเอง