แพ้หรือชนะ / เรื่องสั้น : ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

เรื่องสั้น

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

 

แพ้หรือชนะ

 

ปลายรองเท้าผ้าใบจิกลงบนพื้นดิน ไม่เหยียบเต็มเท้า ไม่เหยียบกิ่งไม้แห้ง เป็นอาการย่องล่าสัตว์ ยังเช้าอยู่เลย แต่แดดไม่อาจทะลุต้นไม้หนาทึบลงมาได้ เขารู้สึกปวดศีรษะ ครั่นเนื้อตัว

รอยเลือดหมูป่าตัวใหญ่หยดเรี่ยราดบนใบไม้และหน้าดิน ใกล้เข้าไป เห็นหยดเลือดใหญ่ชัดขึ้น มันคงเจ็บสาหัส เป็นผลการยิงจากนั่งห้างตอนกลางคืน อาจซ่อนตัวตามต้นไม้หนาแน่นข้างหน้าไม่ไกล คล้ายได้ยินเสียงครางเบาๆ เงี่ยหูฟัง เสียงหายไป เขาจ้องเขม็งและกวาดตาไปมาสุดระแวดระวัง หากมันได้กลิ่น อาจพุ่งจากพุ่มไม้รอบตัวที่ใดก็ได้เข้ามา จะอันตรายยิ่ง

เขารู้สึกหนาวสั่น หรืออากาศเช้าหนาวเย็น ไม่ใช่ เจ้าโรคเก่าคงมาเยือนอีก สังหรณ์ใจอาจหนักกว่าครั้งแรก ใกล้เข้าไป นั่นใบไม้ข้างหน้าขยับไปมา ดังได้ยินเสียงครางเบาๆ เงียบแล้วต่อมาดังอีก ใบไม้กิ่งใบขยับตัว ใช่เลย ปีนยาวในมือระเบิดปังติดๆ กัน เสียงกระโจนพรวดไปข้างหน้า เสียงสุดท้ายแผดบาดใจพนาดังสาปแช่งอาฆาต กิ่งใบไม้ลู่เป็นทางแล้วหยุด ใช่แน่เลย มันเสร็จเราแน่ เขารู้สึกหนาวสั่นมากขึ้น หมดเรี่ยวแรงก้าวต่อแล้วล้มลง หูแว่วเสียงหลายคนส่งเสียงใกล้เข้ามา…

ภาพใครเห็นถัดมา 2 คนหามหมู 2 คนหามพนาครูหนุ่มกลับอย่างทุลักทุเลเร่งร้อน

 

พนาเป็นข้าราชการครู บรรจุอำเภอเวียงแหงย่างเข้าปีที่ 2 แล้ว เขายังโสด บ้านเกิดอยู่จังหวัดลำปาง เนื่องจากระยะทางไกล หน้าฝนปี 2529 จากอำเภอเวียงแหงออกมาถึงถนนทอดสู่บ้านเมืองงาย รถยนต์ติดหล่มโคลนบนดอยเป็นแถวยาว ใช้เวลาเดินทางนานกว่าจะผ่านไปได้ จากนั้นเป็นถนนลาดยางมะตอย รถวิ่งต่อเข้าอำเภอเชียงดาว เพื่อเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เดินทางกลับวันเสาร์อาทิตย์ก็ได้แค่เห็นหน้าพ่อแม่ อาจได้คุยเพื่อนสนิทในเวลาสั้นๆ แล้วต้องรีบเดินทางกลับมาสอนโรงเรียนที่บรรจุ เป็นการเดินทางไม่คุ้มความเหนื่อย เวลาสูญเปล่าระหว่างเดินทาง ดังนั้น เดือนหนึ่งเขาจะกลับบ้าน 1 ครั้ง ดูปฏิทินปิดติดต่อกันหลายๆ วัน หรือกลับครั้งหนึ่ง

เช้าตรู่ ครูพนาพาเพื่อนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ขับขี่จากบ้านพักครู ฝ่าอากาศเย็นหมอกจากสู่บ้านหลักแต่ง ตำบลเปียงหลวง อยู่ห่างไปทิศตะวันตก 18 กิโลเมตร ทั้งคู่คาดหวังให้ทันเที่ยวชมตลาดเช้าหมู่บ้าน ถนนดินกว้างพอรถยนต์กระบะวิ่งชะลอสวนกันได้ บางช่วงเป็นเนินดินเล็กๆ มีก้อนผาฝังบนผิวดินประปราย จึงต้องระวังตามสมควร ถ้าคนขับเมาเหล้าอ้อแอ้ เสี่ยงลงคลุกดินตีลังกาไม่น้อยเลย

พอรถวิ่งผ่านโรงเรียนด้านขวามือ พนารู้ว่าเริ่มเข้าสู่บ้านหลักแต่ง ถนนเริ่มชันลักษณะเป็นตีนดอย พอพ้นค่อยเป็นที่ราบ ทั้งสองได้ยินเสียงหลายคนพูด พนาหาที่จอดรถข้างถนน สองข้างถนนดินเป็นที่วางขายสินค้า ของขายถูกวางบนผ้าพลาสติกที่ปูบนดิน บ้างวางขายบนใบตองกล้วย ดีหน่อยวางบนแคร่ เป็นผักผลไม้ ผลิตผลทางการเกษตร พ่อค้าแม่ค้ายืนบ้าง นั่งยองๆ บ้าง ทำการซื้อขายสินค้าของตน

อาจารย์ใหญ่เป็นคนในพื้นที่เล่าให้พนาฟังว่า ในตำบลเปียงหลวง ประชากรบ้านหลักแต่งเป็นจีนฮ่อกับไทยใหญ่ ต่างวัฒนธรรมแต่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน เป็นหมู่บ้านติดชายแดนพม่า ประชาชนสองฝั่งชายแดนไปมาหาสู่กัน แลกเปลี่ยนสินค้ากัน มีเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเข้าออก ใครไปใครมาต้องลงชื่อเป็นหลักฐาน

กลางถนนมีหม้อเต้าหู้ใหญ่ ไอลอยกรุ่น พ่อค้าหน้าตาจีนฮ่อ ลูกค้า 2-3 รายถือแก้วน้ำเต้าหู้ บางคนซดร้อน ปาท่องโก๋ยาวเป็นคืบ พนาชี้ให้เพื่อนดู เพื่อนสนิทยิ้มขันบอกว่า ปาท่องโก๋อะไรใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ไม่เคยพบเคยเห็น

พนากวาดตามองหาคนที่ต้องการพบ กินเสร็จเขาพาเพื่อนไปยังแคร่ขายของป่าของหญิงคนหนึ่ง ของขายมักเป็นผักหวาน เห็ดถอบ (เห็ดเผาะ) ไข่มดแดง ว่าน พืชสมุนไพร วันนี้พนาเห็นหน่อไม้ กล้วยไม้ ไม้เกี๊ยะเป็นมัดๆ น้ำผึ้งสีน้ำตาลคล้ำวางด้านข้างแคร่หลายขวด พอเดินเข้าไปใกล้ ผู้หญิงอายุใกล้ 40 ปีหันมองยิ้มให้

“พี่ น้าบุญอยู่บ้านก่อครับ” พนาเอ่ยถามแบบคนคุ้นเคยพอสมควร

“บ่อยู่ ข้ามไปฝั่งปู้น ไปหาของป่าเหมือนเดิม”

“ตอนเย็นก็กลับมาใช่ก่อครับ”

“ทุกครั้งจะกลับ วันนี้บ่กลับ พ่อน้องแดงบอกว่า จะค้างบ้านญาติ 1 คืนเพราะญาติแก่มากแล้วบ่สบาย มีอะหยังกาเจ้า”

“คืออยากชวนน้าบุญไปเที่ยวป่าฝั่งพม่า ขอแกเป็นคนนำทางพวกผม บ่ฮู้ว่าน้าบุญจะว่างก่อครับ พี่”

“เออ ถ้าพ่อน้องแดงมาจะบอกเปิ้นให้เน้อ” พนาหันไปปรึกษาเพื่อนสนิท

“เอาอย่างนี้ครับ ถ้าน้าบุญกลับมา ส่งข่าวไปบอกผม จะให้ผมมาหาหรือจะไปหาผมที่บ้านพักครูบ้านเวียงแหง ก็แล้วแต่สะดวกครับ จะได้หารือกัน”

“ได้ๆ”

“นี่ของฝากน้าบุญกล่องแดง แป้งของพี่ ตุ๊กตาให้น้องแดง คงถูกใจเด็กผู้หญิง 2 หรือ 3 ขวบพี่”

“3 ขวบเจ้า ขอบคุณเจ้า”

“ผมกลับก่อนเน้อพี่”

“เดี๋ยวก่อนเจ้า นี่ น้ำผึ้งป่าของแท้ รับไว้ตวย”

“จะดีกาพี่ ของไว้ขาย”

“บ่เป็นหยัง ครูเอาของมาฝากตั้งหลายอย่าง รับของจากพี่บ้าง น้ำใจต่อน้ำใจ”

เพื่อนสนิทขึ้นนั่งซ้อนท้าย เขาพูดเบาๆ กับพนา นั่นทหารพรานถือปืนเอ็ม 16 เดินแถวตอนลึกไปไหนวะ เขาเดินตรวจดูความเรียบร้อยหมู่บ้านประจำวันช่วงเช้า หน้าตาไม่ยิ้มไม่บึ้งไม่พูด ตากวาดทั่วเดาใจยากนะพนา

 

สัปดาห์นี้ปิดติดต่อกัน 4 วัน พนามีโปรแกรมออกล่าสัตว์กับพรรคพวกชอบผจญภัยในป่า 3 คน คนในพื้นที่รู้เส้นทางอีก 1 คน รวมทั้งหมด 5 คน เตรียมเสบียงอาหาร ชุดเดินป่า ปืนไว้พร้อมสรรพ ทั้ง 5 คนในชุดเดินป่า เดินผ่านหลักเขตชายแดนไทยพม่า ตำบลเปียงหลวง เข้าสู่หมู่บ้านชายแดน ประชาชนสองฝั่งชายแดนไปมาหาสู่กันเป็นปรกติ บ้างเป็นเครือญาติพี่น้องกัน บ้างแต่งงานกัน มีการซื้อขายสินค้าสองฝั่งแดนคึกคัก

“เข้าป่าคราวนี้ น้าว่าน่าจะได้สัตว์ใหญ่สักตัว ไม่ฟานก็หมู เชื่อมือครูพนา จะกินให้เปรม เลี้ยงใหญ่เลยละ ลาบ ปิ้ง ย่าง ซ่า ตามด้วยสุรา ฮะ ฮ่า” น้าบุญมีอดีตพรานป่าตบแขนพนาแบบคนคุ้นเคย

“เชื่อสิ เจ้านามันมือเพชฌฆาต ขอให้เห็นตัวเถอะ เปรี้ยง เรียบร้อย ปีแรกๆ ที่มันมา นกเปล้าตัวสีฟ้าเกาะสายไฟพราว เดี๋ยวนี้เป็นไง แทบไม่เห็น” คเชนทร์เพื่อนสนิทหันมองพนา พูดชื่นชมปนหยอก

“ใช่ มีคนว่าพอเจ้านาเดินมา นกมันเห็นแค่หางตา บินพรึบหนีไปเลย” เพื่อนอีกคนเสริม

“มากไปเพื่อน สัตว์มันถึงที่ตายน่ะ” พนาพูดแก้เขิน เดินตามกลุ่มผ่านหมู่บ้าน น้าบุญมีโบกมือ ส่งเสียงทักทายคนรู้จัก

เต็นท์ถูกกางใต้ต้นไม้ใหญ่สำหรับนอน หน้าเต็นท์เป็นลานเรียบกว้างพอประมาณ ข้างหน้ามีลำธารใสสะอาด เห็นน้ำไหลผ่านหินใหญ่น้อย ส่งเสียงคล้ายดนตรีธรรมชาติน่าฟัง ราว 14.00 น. น้าบุญมีบอกทุกคนลงอาบน้ำได้แล้ว เพราะอยู่ในป่าทึบต้นไม้มาก แสงแดดไม่ทะลุลงมาจึงมืดเร็ว 16.00 น.ก็มืดแล้ว ทุกคนร่าเริงเล่นน้ำใสไหลเย็น มีการแบ่งสบู่กันฟอกตัว

“ไม่ให้ใช้สบู่ฟอกตัว” น้าบุญมีบอกเสียงเครียด

“ทำไมครับ น้า” เพื่อนสนิทพนาถาม

“สัตว์มันจะได้กลิ่น ไม่มาใกล้ให้เราล่า กลิ่นสาบก็ไม่ได้ ใช้น้ำในลำธารล้างให้สะอาดก็พอแล้ว พนาเขารู้ดี”

ไฟถูกก่อหน้าเต็นท์

“ไฟจะป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ มารบกวน ต้องเปลี่ยนกันอยู่ยาม อย่าให้ไฟดับ” น้าบุญมีกำชับอย่างผู้เจนชีวิตป่า

พอความมืดเข้าครอบครองป่า บทเพลงแห่งพงไพรเริ่มบรรเลง เสียงจั๊กจั่นเรไรเริ่มร้อง ตามด้วยกบเขียด เสียงกระรอก บ่าง จิ๊งหรีด แมลงบนยอดไม้ น้ำรินไหล ชะนีโหยยามดึก สารพัด ผู้ไม่คุ้นเคยชวนให้หวาดหวั่นวังเวง

มื้อเช้าเป็นอาหารแห้งที่เตรียมมา ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อย บรรยากาศและสถานที่คงช่วยให้กินได้มาก กินเสร็จน้าบุญมีพาคณะเดินสำรวจตำแหน่งที่สัตว์จะพากันมากินดินโป่งกินน้ำ พบต้นไม้เหมาะทำห้างยิงสัตว์ได้ 2-3 แห่ง น้าบุญมีเลือกที่ห่างจากเต็นท์ไม่มากนัก กลับมาทุกคนเร่งตัดไม้ทำห้าง โดยเลือกต้นไม้ใหญ่แล้วทำแคร่ติดต้นไม้ เอาใบไม้กรุรอบๆ ก่อน 16.00 น.พนาขึ้นนั่งห้างแล้ว ความมืดเริ่มโรยตัว เสียงเพลงแห่งป่าเริ่มตรงเวลา พนาในชุดอำพรางมิดชิดทั้งตัว ป้องกันยุงแมลง เวลาผ่านไปช้าๆ ดินโป่งข้างแอ่งน้ำยังเงียบเชียบไม่มีสัตว์ใด

ยุงป่าเริ่มมาทักทาย อาหารชั้นดีของมัน พนาต้องคอยปิดปัดเสื้อผ้าตลอด หัวยุงทำอะไรไม่ได้ ใบหน้าต้องระวัง เขานั่งรออย่างอดทน เงียบที่สุด ไอไม่ได้ จามไม่ได้ ดีที่เขาไม่สูบบุหรี่ เดือนเพิ่งโผล่ยอดดอยให้เห็น ใจชื้นหน่อยหนึ่ง แต่แสงยังไม่สาดพื้นเบื้องล่าง พนาใช้ขี้ผึ้งติดศูนย์ปืนแล้วเอาสำลีปิดทับ ทำให้เห็นศูนย์ปืนชัดขึ้น

เดือนลอยตัวสูงขึ้น แสงเริ่มสาดลานดินที่สัตว์จะมากินดินโป่งแล้ว เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ปรากฏสัตว์ 2 ตัว เล็กกับใหญ่ เดินออกพุ่มไม้อย่างระวังตัว เขาก้มหน้ามอง ยุงกัดเจ็บจี๊ดที่แก้ม กัดกรามข่มไว้ มาอีกหลายตัว มันจู่โจมแทบทนไม่ไหว โบกมือช้าไล่

สัตว์ 2 ตัวเป็นหมูป่า แม้เป้าไม่ชัดนักรอช้าไม่ได้ ยกปืนพาดราวไม้ เล็งอย่างใจเย็นตรงสำลีปิดศูนย์ปืน ยุงกัดแปล๊บจมูก ฮึม เจอตอนไม่ได้นั่งห้างจะซัดเพี้ยยอมเจ็บหน้า โบกไล่ใจเย็นจำยอม ตั้งสมาธิเล็งศูนย์ปืนยังรักแร้แดงหมูป่าตัวใหญ่

“ปัง”

เสียงก้องป่า หมูตัวใหญ่ล้มลงดิ้นพราด กระตุก 2-3 ทีแล้วนิ่ง ตัวเล็กวิ่งตระหนกแจ้นเข้าป่า

“ได้ 1 ตัวแล้ว” พนาบอกตนเองพร้อมตบยุงฉาดใหญ่ แสบหน้าไปหมด ยังลงห้างไม่ได้ ยามค่ำคืนอันตรายมากมาย ต้องรอให้สว่างก่อน เขานั่งบิดตัวไปมาแก้เมื่อย เปลี่ยนอิริยาบถ รู้สึกเหมือนเป็นไข้ ปวดศีรษะ ยิ่งใกล้รุ่งรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย อากาศยามเช้าคงเย็น

ไม่เป็นไรหรอกน่า เขาบอกตนเอง

 

ตอนเช้าทุกคนมารวมตัวใต้ห้าง ต่างแสดงท่าทีดีใจ น้าบุญมีจับแขนพนาพูดชมแล้วหันมองหน้า

“ทำไมตัวร้อน เป็นอะไรหรือเปล่า” กินข้าวเช้าเสร็จ ทุกคนเตรียมตัวกลับ พนามีอาการคลื่นไส้ น้าบุญมีเริ่มแน่ใจ ให้ทุกคนรีบเดินทางกลับ เกรงพนาจะเป็นอย่างที่คิด พนาเข้าโรงพยาบาลอำเภอเป็นครั้งแรก ผลตรวจเป็นไข้มาลาเรีย หมอบอกมาช้าอีก 30 นาทีจะเสียชีวิต

พนาเข้าโรงพยาบาลอำเภอเป็นครั้งที่ 2 ด้วยอาการไข้มาลาเรีย อาการหนักมากจนย้ายลงมารักษาโรงพยาบาลจังหวัด ลมหายใจเขาอ่อนลงทุกที หูคล้ายได้ยินเสียงหมูป่าแผดร้องสุดเสียงดังสาปแช่งอาฆาต ซ้ำหลายครั้ง เสียงค่อยลดความดังลงเป็นลำดับ ยังคงได้ยิน เหมือนมาจากที่แสนไกล

“ปี้มๆๆ” •