เรื่องสั้น : บนปุยไหมในกลีบนวล

เรือนเรียวปากเธออิ่มเอิบแดงระเรื่อสะกดตรึงดวงใจผมไว้ชั่วขณะ ความงามและเบานั้นซึมซับลงในใจทันทีเช่นหยาดน้ำเย็นต้องผืนทรายร้อนผ่าว ทันใดเนื้อใจผมสั่นเทิ้มโหยหาเหมือนถูกคมลิ้นเคียงนุ่มเธอแทรกเข้า เหมือนถูกราวฟันขาวแข็งขืนขบแทะ ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธห้วงรู้สึกวาบหวามกินใจนั้นเลย ต่อให้หลังจากนี้มันจะทำให้ทุกข์โศกสาหัส ผมก็จะใช้ห้วงคำนึงจินตนาการเยียวยารักษาความเดียวดายในใจเอง

เราพบกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเธอใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาทำงานพิเศษเพื่อเลี้ยงตัวเองให้ได้มากขึ้นหลังพ่อแม่แยกทาง เมื่อรับรู้เรื่องราวของเธอ ผมมองดวงหน้างามอีกครั้ง นัยน์ตาเธอสุกสกาวพร้อมสู้และปัดทิ้งสิ่งในใจให้เป็นแค่เรื่องธรรมดา ผมเผยยิ้มในมุมเล็กๆ ของผม ทีแรกไม่รู้เลยว่าเธอเห็นมัน แต่แล้วเมื่อเราใช้เวลาเพียงน้อยนิด ความรู้สึกภายในดวงตาบ่งบอกแก่กันว่าประทับใจ แทบทุกความเคลื่อนไหวถูกจดจำ ยิ่งทั่วทั้งเรือนกายซึ่งถูกลอบเก็บไว้ในส่วนหลงใหลก็ถูกขับเน้นชัดเข้มทุกวินาที

ทุกนาทีในเวลาที่เชื่องช้า ผมละเมียดกับการลิ้มรสเบียร์ โดยมีเธอเมียงมองใส่ใจอยู่ห่างๆ เพราะผมกับเพื่อนอีกสามคนเป็นโต๊ะสุดท้ายของคืนอันต้องรัก หลังจากนั้นไม่กี่วันเธอก็ถามเอากับเพื่อนผมสองคนว่า ผมหายไปไหน ทำไมถึงมาไม่ครบกัน และด้วยคำเล็กๆ นี้เองที่สร้างสานสัมพันธ์ให้คละคลุ้งทั้งหอมอวลและอับชื้น

ปุยไหมใต้ผืนผ้าบางกลางตัวเธอ ซุกซน เธอมักใช้มันปลุกผมขึ้นจากการหลับใหล ยิ่งหลังๆ เธอรู้ว่าผมปรารถนา เธอยิ่งใช้มันแสดงความสดใสต้อนรับวันใกล้ดวงหน้า เรานัวเนียแลกกลิ่นกายในหลายเช้า ทำมันแทนการบอกรัก ให้การบดเน้นเปี่ยมไปด้วยแรงพิศวาส ใช้การคลึงเคล้าเร้าอารมณ์ให้กระเจิงจนเฉาะแฉะและสัดส่ายสอดรับในเนื้อตัวกัน พอเสร็จสมลมหายใจรินรดโรยริน เราก็จูบลาก่อนจะกลับมาเจอกันตอนเฉียดพลบค่ำ

เย็นหนึ่งขณะที่นั่งรอเธอด้วยเบียร์ของร้านซึ่งกินไปแล้วสองขวด ราคาของมันพอๆ กับค่าแรงที่ร้านให้เธอต่อคืน แล้วปรากฏการณ์หนึ่งก็ทำให้คนทั้งร้านและละแวกนั้นจับจ้องเป็นตาเดียว เมื่อดอกไม้ชมพูขาวจากต้นสองข้างทางทยอยกันร่วงหล่นลงพื้นจนพื้นถนนเปลี่ยนสี เพียงอึดใจดอกเหล่านั้นก็โผขึ้นจากพื้นถนนที่ไร้รถราดั่งกับฝูงผีเสื้อกินอิ่ม ดอกไม้ปลิวว่อนเหมือนคำเกี้ยวพาราสี เธอเดินเข้ามาวางแขนพาดไหล่ผม เราถูกขึงไว้ด้วยจังหวะท่วงทำนองไพเราะในบทกวีเรืองนาม ซึ่งซุกซ่อนเสียงปรารถนาในรสใคร่กลิ่นสวาทแนบเนื้อเรือนกายหญิงคนรัก

เราเห็นใจสิ่งที่ปรากฏ เขาส่งเสียงความเดียวดายผ่านความชื่นมื่นสนุกสนาน ความพริ้งเพราะในการเกี้ยวพามีไว้เกลื่อนกลบความในใจ และเผยไว้ให้ผู้ที่คิดจะเห็น เห็น บางคนถ่องแท้ถึงขนาดลงไปวิ่งเล่นโบยบินไปกับรสราคะ บางคนถึงกับหลุบตาลงว่าเศร้าจับใจ ซึ่งมันคงอยู่อย่างนั้นนานนับสิบนาที

“เธอ คนพวกนี้เขาใช้ชีวิตกันยังไง ถึงคิดแสดงอะไรแบบนี้ออกมาได้” เธอถามกับผม ก่อนผมจะเท้าคางช้อนตามองเธอ

“ก็คงตรงข้ามกับเรา”

คืนนั้นผมจึงตัดสินใจใช้เชือกอ่อนสีแดงสองเส้นที่พันเป็นสองทบผูกอกใต้เสื้อทับไร้บราของเธอในแนวแนบชิดติดฐานหนึ่งเส้นและเนินนมหนึ่งเส้น ซึ่งนั่นทำให้เนื้ออกอิ่มเริ่มลอยเด่น อีกหนึ่งเส้นยาวผมพันสองทบเช่นเดิม ใบมือที่เริ่มหวั่น เพียรผูกเส้นใหม่กับเชือกสองเส้นด้านหลังอย่างเชื่องช้าข้ามไหล่ซ้าย โอบใต้นมซ้าย ผ่านกลางร่องอกหอมกรุ่น ข้ามไหล่ขวาขาวนวล คล้องคอและตีนผมอ่อนบาง ผ่านกลางอกอีกครั้ง โอบอุ้มราวนมขวา ข้ามไหล่ และมัดแน่นกับเชือกสองเส้นด้านหลังอีกครั้ง

เชือกยาวเส้นสุดท้าย ผมกลั้นใจกลืนก้อนน้ำในหลุมปากผูกคอผ่านกลางตัวไปจนถึงนวลกลีบเนื้อใต้ผ้าบาง ผมได้เห็นการแหวกออกเป็นชิ้นใหญ่ในมุมที่แปลกตา หนำซ้ำปมเขื่องใต้หลืบร่องที่มุดมู้ตรงจุดทำเธอสับส่าย เรือนขาแยกย้ายชดช้อยเนิบช้า ผมผูกเงื่อนสุดท้ายที่หลังคอ ลมหายใจเฮือกใหญ่กระทบไหล่เธอจนขนเธอชูผุดเหนือเม็ด ก่อนจะถอนหายใจตามอย่างเสี้ยวซ่านแผ่วเบา

เรารับรู้สุดใจว่าเชือกซึ่งทาบทบไปบนเรือนร่างล้วนปลุกเร้าให้ดวงใจเราเต้นรัว ทั้งคนมัดอย่างผมและผู้ถูกมัดเช่นเธอ เราต่างต้องห้ามใจเก็บกักไว้ไม่ให้อารมณ์ปรี่ล้นออกมาก่อนการณ์ เราทำได้ดีไม่แพ้การใส่ใจในรัก จวนเวลาแห่งการปลดปล่อยกันและกัน เราก็ไม่ได้ยั้งเรี่ยวแรงหรือบันยะบันยังรสเพศในท่วงท่ากรีดร้องระงมใคร่ครางครวญ

เธอปลุกผมแบบเดิมในเช้านั้น ผมหรี่ตาอมยิ้ม ก่อนจะใช้ดวงหน้าปลายจมูกซุกไซ้ผ่านปุยไหมเข้าไปในร่องเร้นจนเธอโอนอ่อน รสเธอปนรสผมที่สั่งสมไว้เฝื่อนลิ้นแต่ก็หยุดไม่ได้เพราะหน้าที่และความชุ่มฉ่ำจากภายในนั้นเป็นมากกว่าแรงโหยหาของผมผู้เดียว ระหว่างเธอรอผมถ่ายทุกข์ ผมเห็นเธอนั่งเก็บม้วนเชือกและชั้นในซึ่งกองอยู่กับพื้นด้วยประกายรอบตัวแจ่มจรัสจนผมกลัวว่าวันหนึ่งมันจะมอดไป เมื่อรู้ในทันทีว่าต้องทำอีกหลายเงื่อนหลายอย่างเพื่อรักษาเธอไว้ อย่างน้อยก็เริ่มเลยด้วยการชำระกายสลายบ้างกับบางใจร่วมกัน ดูดดื่มความหวานของรักจากกัน ลูบไล้โค้งเว้าและแข็งขันกันอย่างถนอม สุดท้ายจะเหลือสิ่งใดแสดงนอกจากโอบกอดรัดรึงจนที่สุด

เย็นวันเดียวกัน เราพบว่าดอกไม้สองข้างทางบานสะพรั่งเต็มต้นเช่นเมื่อวาน เราต่างพูดกันว่าถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง มันคงไม่ต่างจากการแสดงที่เรียกให้ผู้คนมาเชยชมและจับจ่ายใช้สอยกับร้านรวงละแวกนั้นกันอย่างคึกคัก แล้วดอกไม้ก็โรยรินลงมาเหมือนปรากฏการณ์ก่อน ถนนสายนั้นกลายเป็นสีชมพูขาว ผู้คนต่างรายล้อม พูดคุยกันดังขรม ผมต้องช่วยเธอมือเป็นระวิงเพราะร้านที่เธอทำงานอยู่ตั้งอยู่ระหว่างไม้งามสองต้น ซึ่งเหลือแต่กิ่งก้านราวกับภาพถ่ายของความเหงา

เมื่อดอกไม้ลอยล่องในอากาศ เสียงแตกฮืออึงมี่เกิดมี ฟังแล้วคล้ายประหลาดใจว่าเป็นธรรมชาติบทอัศจรรย์มากกว่าการแสดงผลงานของศิลปิน ผมกับเธอแทบไม่มีเวลาหยุดนั่ง ปลาดิบหมดไปอย่างรวดเร็ว ข้าวก็หุงแทบไม่ทัน รวมทั้งเบียร์ที่ไม่เย็นพอ ดีที่อย่างน้อยอากาศเย็นและมีลมต่อเนื่องจึงทำให้ทุกอย่างยังลงตัว เสียแต่เราเองก็เสียดายอยู่ใช่น้อยว่าความหมายที่นักประพันธ์คนนั้นเผยแสดงออกมาคงเบือนไปไม่มากก็น้อย

แล้วเมื่อมีคนเริ่มกอบโกยดวงดอกเป็นของตน ความโกลาหลก็ก่อเกิด ผู้คนเริ่มยื้อแย่ง หลายคนสบถด่าว่าไม่ถูกต้อง อีกหลายผู้หลายคนถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันคือการแสดงหรือมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติสร้างสรรค์ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบกับใครได้ ไม่ก็ผมยังไม่รู้ไม่เห็น ดีที่ยังไม่มีใครลงไม้ลงมือ ต่างช่วยกันปรามกันและกันไว้ และดีที่ไม่มีใครก้าวล่วงเข้ามาในร้านเกินขอบเขต ถ้าไร้สติเพียงนั้นผมคงปกป้องเธอไม่ได้ เพราะเชื้อร้ายมันล่วงละเมิดเราเกินกว่าจะเอียงอายสิ่งใดนอกจากต้องสาแก่ใจมัน

“ใครๆ ก็ต่างมีเรื่องให้ปรารถนาโหยหาในใจกันทั้งนั้น เธอว่าไหม การแสดงนี่ร้ายกาจอยู่ที่ดึงสิ่งภายในมนุษย์ออกมาได้ นี่แค่ฟังจากเสียงรอบๆ เองนะ” เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มรับถาดชามจานจากเธอเพื่อรีบเอาไปล้าง

กว่าคืนนั้นจะเก็บร้านเสร็จก็เล่นเอาดึกดื่น แถมพากันหลังเสื้อเปียกด้วยความสนุกสนาน อีกทั้งยังมีการดื่มกินกันอีกยกใหญ่ จนเจ้าของร้านทิ้งกุญแจไว้กับเธอเพื่อปิดร้านเป็นคนสุดท้าย เมื่อประตูล็อกแน่นจากด้านใน ม่านไผ่รูดลง ในความสลัวเธอคว้าตัวผมไปหลังบาร์ กดผมลงกับเก้าอี้ ผลักหลังผิงกำแพง และปลดกางเกงผมลงไวว่อง

เนื้อมือนุ่มกอบกำเนื้ออุ่นจนกระชับ เรือนปากที่ตรึงใจเผยอออกช้าๆ นวลลิ้นนุ่มเนิบนานบรรจงลงใต้ขอบ ก่อนเธอจะกลืนกินเชือดเฉือนมันอย่างคมคาย ผมได้แต่อวดครวญฟืดฟาดกัดปากไม่ให้โจ่งแจ้ง ดูเหมือนเธอจะไม่ผ่อนปรนให้กับผม กลับเหลือบมองช้อนตาเร่งมือลิ้มรสราวกับกลัวมันสิ้นหวานด้วยความคาวหนืดข้น ผมขยุ้มผมสั้นหนาของเธอซ้ำๆ ก่อนจะปลดปล่อยสายสัมพันธ์ออกมาอย่างรู้กัน การกลืนกิน การวนซ้ำย้ำความทำผมฉุกคิดว่าเธอขอบคุณผมในสักเรื่อง หรือต่างตอบแทนเพื่อเติมเต็มให้แก่กัน

พอเราเดินออกมาจากร้านก็พบเศษซากของดอกไม้ช้ำแบนราบติดเต็มพื้นถนน มันอาจจะหมายความว่าความโดดเดี่ยวของผู้แต่งได้ตายลงแล้ว ไม่ก็ถูกหยามเหยียดย่ำย้ำลงไปอีก เรานั่งลงบนมอเตอร์ไซค์ของเราเพียงคันเดียวใต้แสงไฟริมทาง ทอดมองมันอย่างมีหวังว่ามันจะเป็นอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง หรือไม่ก็ให้เขาพบพานความสุขสักเสี้ยวหนึ่งในชีวิต

“เธอ บางทีเราอาจคิดไปเองทั้งหมดก็ได้ คิดง่ายๆ แบบเดิมดีกว่า จริงๆ แล้วเขาก็แค่อยากมีเซ็กซ์เท่านั้นแหละ แต่ใช้งานโรแมนติกมาอำพรางความใคร่ หลอกล่อหมู่แมลงแมงน้อยใหญ่ให้มาตกหลุมบำบัด แล้วก็ปล่อยมันไป แบบที่เจ้าตัวแมลงน้อยก็ไม่รู้ว่าโดนทำอะไรไปบ้างถึงต้องบินจากมา” เธอบอกผมด้วยเนื้อความปิดท้ายราวบทกลอน แล้วเราก็บิดรถกลับบ้าน

น่าเสียดายที่คล้อยหลังเพียงพริบตา ดอกช้ำก็อันตรธานหายไป ยอดอ่อนก็แทงออกจากกิ่ง

แล้วใครคนหนึ่งซึ่งรอให้เราจากจรก็โผล่ออกมาจากมุมมืด (เช่นเคย)

เขาหอบหิ้วขวดสารเคมีชนิดรุนแรงหลายขวดเล็ก เปิดมันอย่างใจเย็น และค่อยๆ เทมันลงไปตรงโคนต้นไม้ทุกต้น เพื่อให้ทุกต้นตาย เพื่อให้ความหมายของทุกคนเหลือเพียงความตาย การสูญสิ้นเท่านั้นที่ดำรงอยู่ชั่วกาลเวลามนุษย์ ไม่มีการตีความอื่นใดให้มากเรื่อง งมงายและไร้เหตุผล หนุ่มใหญ่ยิ้มแสยะท้าทายไปในสายลม อีกไม่นานคงจะลืมเลือนเหมือนความตายของทุกคน นับภาษาอะไรกับต้นไม้ งานประพันธ์กวีนิพนธ์ หรือความรู้สึกปั้นแต่งของมนุษย์โสมมคนหนึ่ง

สิ้นประสงค์ ชายกลางคนไม่คาดหวังว่าต้นไม้ดอกงามจะตายในทันที เขายืนชมผลงานของตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทนกลิ่นฉุนแรงของเครื่องอาฆาตไม่ไหวและเดินจากมาพร้อมใจเบิกบาน แม้ว่าอาจจะต้องลงมืออีกครั้ง ก็ต้องทำ ถึงจะต้องรออีกนานและอีกสักกี่ครั้งก็ตาม ต้นไม้ดอกงามก็เช่นกัน มันเพียงแค่ชะงักเพื่อต่อสู้ แล้วยอดอ่อนก็แตกกลีบเลี้ยงตามเรี่ยวแรงบันดาลใจซึ่งตนมี

(โดยไม่ยอมดับตามแรงโหยหา อย่างน้อยก็ของเขา)

ลมหนาวปะทะหน้าเราระหว่างทางกลับบ้าน มีดวงจันทร์รุ่มร้อนรุนแรงคอยตามติด เธอกอดโอบผมไว้บนหนทางซึ่งไร้ผู้คน แผ่นหลังผมหรือจะอบอุ่นเท่าอกเธอ ผมถามตัวเอง ในขณะที่ใบมือเธอกำลังกำขย้ำที่ท่อนเนื้อซึ่งโตตามตรงหว่างขา สลับลูบไล้ไปมาผ่านผ้าหนาเสมือนปลุกให้ผมเต็มตื่นอยู่ตลอดเวลาจวบจนเราจะถึงบ้าน เธอซุกซนอย่างนี้เสมอ และนี่อาจเป็นความชื่นชอบส่วนตัวที่ผมมีจนรักเธอหลงเธออย่างหัวปักหัวปำ เธอเองก็รู้อยู่เต็มอก จึงรักษาผมไว้ไม่ให้ประกายรอบตัวที่เห็นริบวูบไป

แล้วเมื่อเรากลับถึงบ้าน กลิ่นรอบบ้านซึ่งเคยอับชื้นก็เปลี่ยนไปเป็นหอมหวน เพียงแค่เธอแง้มประตูเปิดไฟ ดอกไม้ชมพูขาวอมส้มจากแสงไฟก็ล้นทะลักออกมาจากบ้าน เรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะเปิดประตูออกจนสุดก็พบว่ามีดอกไม้กองท่วมเข่าอยู่เต็มบ้าน เธอยิ้มให้ผมราวกับว่าผมคือผู้มอบดอกไม้สะสวยเหล่านั้นให้ แต่แววตาก็ฉายความสงสัยว่าผมทำอย่างไร ในเมื่อวันนี้เราอยู่ด้วยกันทั้งวัน และทันทีที่เธอเห็นสีหน้าผม เธอก็รู้ว่าผมไม่ได้ทำ เราเดินจับมือกันเข้าบ้าน แหวกมวลดอกไม้นิ่มหอมเข้าไปสำรวจ ซึ่งทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีสิ่งใดสูญหายผุผัง มีก็แต่สิ่งที่เพิ่มเติมตามที่รู้กัน เรายิ้ม อบอุ่น และเป็นสุข ประหนึ่งเราได้รับคำอวยพรและเพลงขับกล่อมซาบซึ้งส่งเข้านอน

เรือนเรียวปากเธอซึ่งหอมรัญจวนปลุกผมในยามสาย เธอบอกว่าวันนี้ผมหอมเป็นพิเศษ ดั่งกับว่าดอกไม้เหล่านั้นแทรกเข้าไปฝังในเนื้อกาย ผมก็บอกกับเธออย่างนั้น เราจึงลองดอมดมกันและกันไปทั่วทั้งซอกหลืบหลืบเร้น มันทรงเสน่ห์ยวนใจไปเสียทั้งหมด ยิ่งสูดกลืนดื่มกลิ่น มันยิ่งร้อยรัดเราไว้เหมือนเชือกอ่อนกินหลวม และเมื่อลงลิ้นชิมรส มันหวานเสียยิ่งกว่ากายหนุ่มสาวบริสุทธิ์ผู้อ่อนเยาว์

ครั้นท่อนเนื้อถูกเนื้อสวม กลิ่นดอกก็กระเจิงกระจายคละคลุ้งอบอวลไปทั่วห้อง ซึ่งเข้ากันได้ดีกับสุ้มเสียงอึกทึกอันเกิดจากในและนอกกายกระทบ

ดอกไม้หายไปตอนเที่ยง บ่ายแก่หลังจากผมซักเสื้อผ้าเราเสร็จและเธอไม่มีเรียน เราจึงมีเวลาทอดกายปล่อยอารมณ์กับการนั่งพักเสพกาเฟอีนในกาแฟ เธอนั่งไขว่ห้างเผยขาขาวทำการบ้านเศรษฐศาสตร์ ส่วนผมนั่งวางท่ากระดิกเท้าเขียนบันทึกและอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเซ็กซ์ ความหลากหลาย ความโดดเดี่ยว ความตาย และความมหัศจรรย์ แล้วเขา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งเนื้อตัวเหม็นเหมือนอาบน้ำยาฆ่าแมลงก็เดินเข้ามาหาเรา เขาเล่าถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ เห็นเข้า และทำไปแทบทั้งหมดตามที่เขาว่า

“หยุดมันซะ ไม่อย่างนั้นพวกคุณจะต้องตายก่อนวัยอันควร เพราะธรรมชาติจะผิดเพี้ยนมากไปกว่านี้ จากฝีมือของพวกคุณ” เขาทิ้งท้ายความสำคัญไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่เอากลิ่นติดกายกลับไปด้วย

“เรา เราไม่ยอมหรอกคะ”

เธอพูดขึ้นหลังจากผมกับเธอเดินจ้ำๆ ตามเขาไปท่ามกลางดอกส้มร้อนที่แผ่กว้างเต็มต้นสองข้างทางใต้แดดแรงซึ่งมีลมเย็นฉาบไว้อย่างถ้อยที