กาละแมร์ พัชรศรี : บั้นปลายชีวิต

ที่มาภาพ : pixabay

ต้องอายุเท่าไหร่กันนะเราถึงจะคุยว่าพอแก่แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนดี

สำหรับฉันในวัย 40 ปี เริ่มคุยกับเพื่อนๆ แล้วค่ะ!!

มันเกิดจากที่สังขารเริ่มจะไม่เหมือนเดิม และเห็นการแก่ เจ็บ ตายของคนรุ่นพ่อแม่เรา หัวข้อการพูดคุยของฉันกับเพื่อนจึงเป็นเรื่องการดูแลสุขภาพกาย การกิน การออกกำลังกาย กินอะไรเสริมดี รวมไปถึงสุขภาพใจ

เรื่องหลังยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเรื่องธรรมะจะเข้ามาทันที จากการนินทาเม้าธ์คนนั้นคนนอก หรือคุยกันเรื่องผู้ชาย มันได้กลายเป็นเรื่องธรรมะ เน้นการพ้นทุกข์และอยู่ให้เป็นสุขมากขึ้น

ยังยืนยันว่าชอบอายุที่มากขึ้นเสมอ เพราะเราจะได้เจอความแปลกใหม่ในตัวเอง เติบโตทั้งทางอารมณ์ ความคิดและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้น (ฮา)

 

วันก่อนได้รวมตัวกันไปให้กำลังใจเพื่อนที่แม่กำลังป่วยหนัก เพื่อนที่ไปได้ก็โสดทั้งนั้น นอกนั้นต้องทำหน้าที่แม่และเมียกันไปเป็นอันเข้าใจกันได้

เพื่อนคนนี้มีสามีเป็นชาวต่างชาติ กลับมาเยี่ยมบ้านพอดีกับแม่เข้าโรงพยาบาล เลยต้องให้ผัวและลูกที่กำลังเปิดเทอมกลับไปก่อน ตัวเองอยู่ทำหน้าที่ลูกทางนี้ ก็ได้พี่น้องผลัดหมุนเวียนกันเฝ้าแม่ นางก็เล่าว่าบางคืนไม่ได้หลับได้นอนจนนางป่วยไปอีกคน

ให้กำลังใจทั้งเพื่อนและแม่เพื่อน กินข้าวกินปลา หัวเราะเปลี่ยนบรรยากาศไปสักยกก็กลับบ้าน พอขึ้นรถมาก็มานั่งคุยกันว่า แล้วถ้าเราแก่แล้วใครจะดูแลเรา (วะ)

แต่เพื่อนคนที่มีผัวมีลูกคนหนึ่งก็เคยกล่าวไว้ว่า “ผัวกรูน่าจะตายก่อน (ฮา) ส่วนลูกเราไม่อยากให้มันต้องมาลำบากดูแลเรา มันก็ต้องมีครอบครัวที่มันต้องดูเหมือนกัน”

อะ ขนาดคนมีผัวมีลูกยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่มันก็จริงที่เพื่อนว่า ถึงมีลูกก็ไม่ได้เป็นหลักประกันอะไรว่า ต้องให้ลูกมาดูแลเราตอนแก่เฒ่า

ในเมื่อทุกคนต้องมีชีวิตของตัวเอง

 

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ฉันอยากดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีที่สุด เพราะไม่อยากเป็นภาระให้ใคร

บอกตรงๆ ว่าเกรงใจมาก เราก็พยายามทำของเราให้ดีที่สุด อะไรที่ทำร้ายร่างกายจะลด ละ เลิก

เพราะเคยได้ยินเพื่อนหรือลูกๆ หลายคนมาคุยกันว่าพ่อกับแม่พูดยากมาก บอกว่าอันนี้กินแล้วน้ำตาลขึ้น ไขมันสูงก็ไม่ยอมหยุด บอกว่า “อย่ามาห้าม ชั้นจะกินมันเป็นเรื่องของชั้น กินให้มันตายๆ ไปเลย”

พอออกรูปนี้จะให้ลูกๆ ทำอย่างไร แล้วพอบอกอะไรก็จะได้ตามปากอย่างนั้นน่ะสิคะคุณพ่อคุณแม่ แล้วตอนไปหาหมอ รักษาตัว นอนแบบบนเตียง ใครเป็นคนที่ทุกข์ถ้าไม่ใช่ตัวท่านเองและลูกหลาน

ฉันและเพื่อนเลยบอกกันไว้ว่าเราจะดูแลสุขภาพเราให้ดีในวันที่เรายังทำเพื่อตัวเองได้ และเราจะเก็บหอมรอมริบเพื่อจะมาสร้างบ้านอยู่ด้วยกัน!

เพื่อนคนหนึ่งซื้อที่ไว้ที่แม่ริม จ.เชียงใหม่ นางก็กะว่าจะไปอยู่ตอนเกษียณนั่นแหละ คุยไปคุยมา เราควรไปอยู่ด้วยกัน เพราะการอยู่กันแบบกระจัดกระจายมันยากต่อการไปเยี่ยมเยียน ยิ่งเพื่อนฉันหลายคนได้สามีเป็นต่างชาติด้วยแล้ว กว่าจะได้กลับมาเมืองไทยอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปเยอะ ญาติพี่น้องก็ห่างหายไป เพื่อนนี่แหละอยู่ด้วยกันมันดี

เลยถามเพื่อนว่าไปอยู่ถึงแม่ริม เกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร นางว่าที่ตรงนั้นใกล้โรงพยาบาลและใกล้วัด!

อ้อ ใครสะดวกที่ไหน ชอบที่ไหนให้ไปที่นั่น!!

 

เราเลยคิดว่าจะสร้างบ้านขนาดใหญ่ชั้นเดียวเป็นรูปตัวยู แบ่งซอยห้องส่วนตัว โดยมีพื้นที่ส่วนกลางเป็นทางเชื่อม ไว้นั่งเล่น กินข้าว เม้าธ์มอย มีลานสันทนาการไว้เล่นโยคะ ออกกำลังกาย มีพื้นที่ไว้ปลูกต้นไม้ทำสวน

ใครอยากมาอยู่ลงเงินกันมาค่าก่อสร้าง จ่ายค่ารายเดือนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลาง จ้างครูมาสอนโยคะ กายภาพยืดเหยียด เต้นแอโรบิก จ้างแม่บ้าน จ้างพยาบาลไว้ 24 ชั่วโมงเผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินจะได้ปฐมพยาบาลก่อนถึงมือหมอ จ้างคนขับรถและมีรถตู้ไว้เดินทางไปเที่ยวและไปหาหมอ

ลูกหลานใครอยากมาเยี่ยมก็ตามสะดวก มีห้องหับส่วนตัว ตกแต่งกันตามที่ใจชอบ พินัยกรรมเขียนให้ไว้เรียบร้อย ตายไปจะได้ไม่ต้องให้ลูกหลานตบตีกัน

เราคิดว่าถ้าจะต้องอยู่กันเอง เราต้องมีความพร้อม และการได้อยู่กับเพื่อนกันเองน่าจะสนุกกว่าอยู่กับใครที่เราไม่รู้จัก ไปวัดก็ง่าย แถมได้อยู่ในที่อากาศดี รถไม่ติด

คิดสนุกๆ กันไว้อย่างนี้ก่อน ถ้าแผนเปลี่ยนจะมาอัพเดตให้ฟังค่ะ