ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มิถุนายน 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
หยั่งลึก ถึง ‘ความนัย’
คนแวดล้อม รอบ ‘เล้งโซ่วฮุ้น’
เฉียบขาด ไม่ลำเอียง
มีความจำเป็นต้องศึกษาอากัปกิริยาของ “เล้งโซ่วฮุ้น” อย่างเป็นพิเศษ ไม่เพียงเพื่อต้องการไขรหัสเมื่อแรกที่มันช่วยชีวิตลี้คิมฮวงเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
หากแต่ยังสร้าง “ความกระจ่าง” ต่อแต่ละก้าวย่างนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ต้องยอมรับว่าพลันที่พบกับลี้คิมฮวง ณ อุทยานตระกูลลี้ (ลี้ฮึง) ซึ่งได้แปรเปลี่ยนเป็น “หมู่ตึกเมฆเรืองโรจน์” (เฮ้งฮุ้นจึง) แล้วโดยสมบูรณ์
เป็นท่าทีที่ “รัก” และห่วงใยต่อ “ลี้คิมฮวง” ซึ่งเป็นเฮียตี๋ร่วมสาบานกับมัน
ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง “คิมฮวง คิมฮวง เป็นท่านมาแล้วจริงๆ” ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง “น้องเรา ท่านทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงแทบตาย คิดถึงแทบตายแล้ว”
แผดหัวร่อดังก้องพลางประคองลี้คิมฮวงเข้าไป
“รีบไปเชิญฮูหยินออกมา พวกเราทั้งหลายต่างออกมาให้หมดสิ้น มาพบกับเฮียตี๋ของเรา พวกท่านทราบเฮียตี๋ของเราเป็นผู้ใดหรือไม่ ฮา ฮา เราบอกไปแล้วประกันว่าพวกท่านต้องสะดุ้งตัวลอยทีเดียว”
แน่นอน เพราะว่าเฮียตี๋ของมัน คือ เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า
แม้การปรากฏขึ้นของลิ่มซีอิม เป็นการปรากฏขึ้นในลักษณาการที่นางเบิ่งจ้องลี้คิมฮวงแน่วนิ่ง คล้ายดั่งกำลังถลึงมองคนแปลกหน้าที่มิเคยเห็นมาเลย
จากนั้น ประกายตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชิงชัง เน้นทีละคำ
“ท่านเอง เป็นท่านทำร้ายมันจริงๆ ประเสริฐมาก ประเสริฐมาก ข้าพเจ้าทราบแต่แรกแล้วว่าท่านต้องไม่ยอมให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ด้วยความสุขสมบูรณ์ กระทั่งความสุขเล็กๆ น้อยๆ ชิ้นสุดท้ายของข้าพเจ้าท่านยังต้องช่วงชิง”
เล้งโซ่วฮุ้นกระแอมเบาๆ แล้วส่งเสียงดังๆ
“ไม่อาจกล่าวเยี่ยงนี้ต่อคิมฮวงได้ นี่ไม่อาจตำหนิมันโดยสิ้นเชิง ล้วนเป็นเพราะฮุ้นยี้ตอแยขึ้นเองทั้งสิ้น อย่าว่าแต่คิมฮวงตอนนั้นไม่ทราบว่าฮุ้นยี้เป็นบุตรของพวกเรา”
อั้งไฮ้ยี่พลันส่งเสียงดังๆ อีกครั้ง
“มันทราบ มันทราบแต่แรกแล้ว มันความจริงยังทำร้ายข้าพเจ้าไม่ได้ แต่พอข้าพเจ้าฟังว่ามันคือสหายของเตียเตียข้าพเจ้าจึงหยุดมือ มิคาด มันกลับฉวยโอกาสนั้นทำอันตรายข้าพเจ้า”
เล้งโซ่วฮุ้นกลับตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “เดียรัจฉาน เจ้ายังกล้ามดเท็จ”
เล้งโซ่วฮุ้นเกรี้ยวกราดยิ่งนัก “เดียรัจฉานตัวนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว เรามิสู้ทำลายมันทิ้งเสียจะได้ไม่ต้องมาฉีกหน้าให้อัปยศอีก”
ใบหน้าซีดขาวของลิ่มซีอิมแดงฉานด้วยโทสะ
“อย่างนั้นพลอยฆ่าข้าพเจ้าไปเสียด้วยเถิด ในเมื่อพวกท่านต่างมีความสามารถอย่างยิ่ง จะฆ่าทารกน้อยง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือเท่านั้น
ฆ่าสตรีอีกนางหนึ่งก็มิเห็นเป็นไร”
ภาพของ ลิ่มซีอิม ภาพของ เล้งโซ่วฮุ้น ภาพของ เล้งเซี่ยวฮุ้น ที่ปรากฏ ณ เบื้องหน้าสายตาของลี้คิมฮวงชวนให้ปวดร้าวขื่นลึกอย่างยิ่งยวด
ภาพของลิ่มซีอิมไม่มีอะไรสงสัย
เล้งโซ่วฮุ้นอรรถาธิบายว่า “คิมฮวง ท่านอย่านึกตำหนินาง นางความจริงมิใช่สตรีไม่ถือเหตุผลเลย แต่ทว่า สตรีนางใดได้เป็นมารดาแล้วตอนนั้นนางจะเปลี่ยนไม่ถือเหตุผลไป”
ลี้คิมฮวงเห็นด้วย
สำนองรับด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ข้าพเจ้าทราบ เพราะบุตรของตัวเอง มารดากระทำเรื่องราวใดต่างสมควรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าแม้มิเคยเป็นมารดาของผู้คนมา ย่อมเคยเป็นบุตรของผู้คน”
ลิ่มซีอิมเป็นเช่นนี้ลี้คิมฮวงเข้าใจ แต่เล้งโซ่วฮุ้นและเล้งเซี่ยวฮุ้นเล่า มันเข้าใจหรือไม่
เหมือนกับลี้คิมฮวงจะไม่เข้าใจ เพราะท่าทีที่แสดงออกล้วนซาบซึ้งประทับใจในน้ำใจไมตรีของเล้งโซ่วฮุ้น
ถามว่า “โกวเล้ง” วาดพรรณนาสภาพการณ์ตอนนี้ออกมาอย่างไร
ขอยกสำนวนแปลของ น.นพรัตน์ มาเป็นตัวอย่างแล้วค่อยเสริมตามด้วยสำนวนแปลของ ว. ณ เมืองลุง
“หยิบยืมสุราราดรดทุกข์ ทุกข์ยิ่งถมทวี”
นี่เป็นคำกลอนที่ตกทอดมาแต่โบราณกาล แต่ความจริงหาได้ถูกต้องทั้งสิ้น ดื่มสุราในปริมาณน้อยนิดมาตรว่าสามารถทำให้ความทุกข์ทวีคูณ ยิ่งทำให้ประหวัดนึกถึงเรื่องราวที่เศร้าเสียใจ
แต่เมื่อดื่มจนเมามายจริงๆ ความนึกคิดและความรู้สึกของมันล้วนกลับกลายเป็นชาด้าน
อย่างนั้นในโลก ไม่มีเรื่องราวใดสามารถสร้างความปวดร้าวแก่มันแล้ว ลี้ชิ้มฮัวเข้าใจในข้อนี้
จึงคิดร่ำดื่มให้เมามาย
การดื่มสุราเมามาย ความจริงมิใช่เรื่องยากลำบากอันใด แต่คนผู้หนึ่งมีเรื่องเศร้าเสียใจยิ่งมาก จำนวนครั้งที่ดื่มจนเมามายยิ่งมาก
เมื่อยิ่งต้องการดื่มให้เมามาย พานยากจะเมามายได้
“พี่งเมรัยดับทุกข์ ทุกข์ยิ่งทุกข์” นี่ย่อมเป็นสำนวนแปลของ ว. ณ เมืองลุง ดื่มสุราจำนวนน้อยสามารถบันดาลให้ผู้คนยิ่งมีประสาทอ่อนไหว ยิ่งคิดเรื่องเศร้าเสียใจได้ง่ายดาย แต่รอจนเมื่อดื่มมากมายจริงๆ
ดื่มจนเมามาย ความคิดและความรู้สึกก็จะชาด้านไปจนหมดสิ้น
อย่างนั้นในโลกจะไม่มีเรื่องราวใดสามารถบีบคั้นให้มันทุกข์กังวลอีกแล้ว ลี้คิมฮวงเข้าใจความข้อนี้กระจ่างยิ่ง
จึงพยายามดื่มสุราไม่คิดชีวิต
ดื่มสุราให้เมามิใช่เป็นเรื่องยากเย็นอย่างไร แต่คนที่มีความเศร้าเสียใจยิ่งมากจำนวนการเมามายก็ยิ่งยากตาม
ยิ่งคิดจะดื่มให้เมากลับพานเป็นไม่เมาง่ายดายไปแล้ว
วิกาลดึกสงัด สุราถูกดื่มไปไม่น้อยแต่ลี้คิมฮวงกลับไม่รู้สึกเมาเลยแม้สักน้อยนิด มันพลันพบเห็นผู้อื่นก็ไม่มีสีหน้าเมามาย
ชนชาวนักเลง 10 กว่าคนร่วมดื่มในโต๊ะเดียว
ดื่มจนถึงเวลาดึกสงัด ถึงกับไม่มีผู้ใดเมามาย นับเป็นเรื่องที่ผิดธรรมดาจริงๆ กระนั้น ในความผิดธรรมดานั้นกลับให้บทสรุปแก่ลี้คิมฮวง
เพราะบุคคลที่ 10 กว่าคนรอคอยกลับเป็น “เตี้ยตั้วเอี้ย” ผู้หนึ่ง
เป็นเตี้ยตั้วเอี้ยเจ้าของฉายา “เฉียบขาดไม่ลำเอียง” (ทิมิ่นบ้อไซ) เตี้ยเจี้ยอั้วเล่าเอี้ย ซึ่งเป็นพี่ร่วมสาบานของเล้งโซ่วฮุ้น
นามนี้ ฉายานี้ถึงกับสามารถเรียกเสียงหัวร่อจากลี้คิมฮวง
“มิได้พบสิบปี คิดมิถึง ตั้วกอถึงกับคบหาสาบานเฮียตี๋ดีเยี่ยม ที่มีชื่อลือกระเดื่องตั้งมากหลาย ขอให้ผู้น้องได้คารวะตั้วกอจอกหนึ่ง”
คำกล่าวนี้ ใบหน้าเล้งโซ่วฮุ้นคล้าย “แดง” ขึ้นวูบหนึ่ง
“นึกไม่ถึง ข้าพเจ้าจะมีตั้วกออีกหลายท่าน แต่มิทราบ บรรดาวีรบุรุษยิ่งใหญ่เหล่านั้นยอมรับข้าพเจ้าที่ไม่รักดีเป็นเฮียตี๋หรือไม่”
เด่นชัดยิ่งว่าสายตาที่มองไปยัง “ตั้วกอ” ร่วมน้ำสาบานมี “คำถาม”
คําถามนี้ไม่เพียงแต่จะเสนอต่อบรรดา “ตั้วกอ” ร่วมน้ำสาบานของเล้งโซ่วฮุ้นเท่านั้น หากแต่ยังเป็นคำถามตรงไปยังเล้งโซ่วฮุ้น
เป็นคำถามตั้งแต่ประสบท่าทีของ “ฉิ้งเฮ่างี้” ที่หมู่บ้านงู้เกซึง
เป็นคำถามเมื่อรับรู้ว่าทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์เมฆโรจน์กำลังรอคอย “เฉียบขาดไม่ลำเอียง” (ทิมิ่นบ้อ”) เตี้ยเจี้ยอั้ว
ยิ่งเมื่อมีการเอ่ยถึง “โจรดอกเหมย” ยิ่งเมื่อมีการเอ่ยถึง “เทพธิดาน้อย” (ลิ่มเซียนยี้)
ความสนใจของลี้คิมฮวงยิ่งแผ่กว้าง ความอยากรู้อยากเห็นของลี้คิมฮวงยิ่งแผ่กระจายและตกอยู่ในอาการรอคอย
รอคอยโดยที่ยังไม่รู้ว่า “ลิ่มเซียนยี้” เป็นผู้ใด