ฟ้า พูลวรลักษณ์ : รายการ The Mask Singer และวันที่ฉันตกหลุมพรางตัวเอง

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๘)

รายการ The Mask Singer โด่งดังมานานเป็นปี ฉันไม่เคยดูเลย ฉันเป็นคนไม่ชอบดูทีวี และไม่ชอบฟังเพลง และเพราะฉันอายุ ๖๔ แล้ว เพลงสมัยใหม่ ฉันไม่รู้สึกร่วมด้วย

แต่ตั้งแต่ฉันเล่นเกมถอดรหัส ทุกครั้งที่มีภาพดารา นักร้อง หรือคนมีชื่อเสียงในยุคนี้โผล่ออกมา สมองของฉันจะหยุดทำงานทันที มันหยุดแบบกะทันหัน เหมือนโดนเบรก สมองไม่อยากคิดต่อ และแม้จะบอกชื่อของพวกเขาหลายครั้ง ฉันก็จะจำไม่ได้

ทันใดนั้นฉันก็พบจุดอ่อนของตัวเอง ว่าเส้นประสาทในสมองของฉัน ไม่มีร่องนี้ มันตันไปหมดแล้ว มันไม่จำหน้าและชื่อคนเหล่านี้

มันจึงเชื่อมโยงฉันมาสู่รายการ The Mask Singer คือทำให้ฉันเกิดความอยากรู้ รายการนี้ แสดงศักยภาพของคนเหล่านี้พอดี ของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นกลาง ที่ฉันล้วนข้ามมาหมด ฉันดูควบคู่ไปกับรายการถอดรหัส และควบคู่ไปกับการเปิดโลกเพลงสมัยใหม่

ฉันมีขอบเขต ฉันไม่ได้คิดว่าฉันจะจำได้ หรือจะชอบเพลงยุคใหม่ หรืออะไรทั้งนั้น

ที่จริงฉันคงดีขึ้นกว่าเดิมสักสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่ความลึกซึ้งอยู่ที่ว่า สิบเปอร์เซ็นต์นี้ ฉันต้องการ

มันนำพาฉันไปสู่สิ่งหลายสิ่งที่ฉันไม่รู้จัก เหมือนท่อตันที่เกิดการระบายออกมาบ้าง

๕คนรุ่นเก่าจะคิดว่าเพลงสมัยใหม่ไร้สาระ อีกอย่างมันไม่ได้สะท้อนเสียงของพวกเขา ดังนั้น ฟังยังไงก็ไม่ซึ้ง เพราะเพลง สะท้อนเสียงของคนในยุคของพวกเขา หากไม่ซึ้งเสียแล้ว เพลงเหล่านั้นก็หมดความหมาย

ถ้าถามฉัน ว่าวันนี้ฉันซึ้งไหม คำตอบเหมือนเดิม คือไม่ซึ้ง เพราะฉันเป็นตัวแทนของคนรุ่นเก่าเสียแล้ว

อันนี้เป็นเรื่องปกติ จะให้คนอายุหกสิบกว่าไปซึ้งกับเพลงของเด็กๆ อายุสิบกว่าได้อย่างไร เราอยู่ในโลกที่แตกต่าง

แต่ฉันเริ่มสังเกตเทคนิค น้ำเสียง และพลังของนักร้องรุ่นใหม่เหล่านี้ ย้อนกลับไปสู่ยุคกลาง เพราะฉันข้ามมาหมด และพบว่ามีมากมายที่ฉันมองข้ามไป ฉันทึ่งในน้ำเสียง ในความสามารถของพวกเขา

ฉันเดินไปตามถนน และบางครั้งได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ซ้อมเต้นรำสมัยใหม่ แล้วตกตะลึง พบว่ามันเป็นการเต้นที่ยากมาก ต้องฝึกซ้อมอย่างแสนสาหัส เป็นพันเป็นหมื่นครั้ง และท่วงท่าเหล่านั้น ที่จริงก็งดงาม และมีพลังมาก

คนรุ่นเก่ารู้ว่า การเรียนนาฏศิลป์ หรือการเรียนโขน ยากลำบากมาก ต้องฝึกฝนอย่างยาวนาน

แต่การเต้นรำสมัยใหม่ ที่ดูคล้ายจะไร้สาระ คล้ายจะง่ายๆ ที่จริงก็ยากเย็นแสนเข็ญ ไม่เป็นรอง หรืออาจยากกว่า นี้เป็นประกายที่ประหลาด

เราพลาดได้ยังไง เราถูกความเป็นยุคสมัยครอบงำ เราเริ่มหมดความสนใจสิ่งรอบตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเริ่มจากความไม่ซึ้ง ไม่ชอบ และความคิดว่ามันไร้สาระ นี้คือความประมาท

ฉันไม่ได้บอกว่าสิ่งใหม่ดีกว่าสิ่งเก่า ฉันเพียงบอกว่ามันดีคนละแบบ และสิ่งเก่าก็ไม่ได้ยากกว่า มันเพียงยากคนละแบบ มันเป็นคนละชีวิต

๑๐ ฉันเห็นคุณแล้ว คุณมองเห็นฉันไหม

๑๑ฉันทดสอบ ด้วยการโทรไปหาเพื่อนคนหนึ่ง ที่อายุอ่อนกว่าฉันหนึ่งรอบ แต่ไหนแต่ไรมา เขาเป็นคนที่ฉันนับถือ เขาเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี ทันสมัย และคบหาผู้คนมาก เดินทางมาก เป็นคนหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ

ทุกวันนี้นานๆ ฉันจะเจอเขาสักครั้ง นานๆ จะคุยกันทางโทรศัพท์ แต่ครั้งนี้ ฉันลองถามเรื่องราวหลายอย่าง และตกตะลึงที่พบว่าเขาไม่รู้เลย

เขาไม่เคยดูเกมถอดรหัส แม้ชาวบ้านจะดูกันทั่ว

เขาไม่เคยดู The Mask Singer แม้มันจะโด่งดัง

และเขาไม่รู้จักผู้คนและเรื่องราวมากมาย

ก่อนนี้ฉันไม่เคยสังเกต และไม่ได้มองจากอีกมิติหนึ่ง ฉันคิดว่าเขาเป็นที่พึ่งของฉันได้ ยามที่ฉันต้องการข้อมูล

แต่ทันใดนั้น ฉันก็พบว่าเขาเป็นคนอายุ ๕๒ ปี เขากลายเป็นคนรุ่นเก่า

๑๒ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเขาก็มีข้อจำกัด และมันค่อยๆ กัดกร่อนเขาทีละน้อย เราต่างไม่รู้สึกตัวเลย กว่าจะเงยหน้า มองใหม่อีกครั้ง เขาก็กลายเป็นลุง กลายเป็นปู่

จริงซินะ เขาแก่แล้ว ฉันไม่รู้สึกตัวแต่ก่อน เพราะฉันอายุมากกว่าหนึ่งรอบ และตัวเองเก่ากว่า

๑๓ วงการทั้งหมดเก่ามากนะ ฉันหมายถึงวงการหนังสือ วงการนิตยสาร วงการจิตรกรรม วงการประติมากรรม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ก็สมควรเก่า เพราะอายุมากแล้ว ล้วนเป็นปู่เป็นย่า เพียงแต่คนไม่น้อยคุ้นเคย เพลิดเพลิน เกินกว่าจะยอมรับเป็นอื่น

นักเขียนจำนวนมาก หากไม่ให้เขียนก็ไม่รู้จะทำอะไร ยังคงต้องคบหากับเพื่อนนักเขียน เดินวนอยู่ในสังคมของคนอ่านหนังสือ ต่อให้สังคมนี้แคบลง ก็ยังไม่รู้สึกตัว ต่อให้รู้สึกตัว ก็หนีไปไหนไม่ได้

เหมือนปลาที่อยู่ในแอ่งน้ำ ที่หดเล็กลงทุกวัน ด้วยแสงแดดแผดเผา แต่มันก็หนีไปไหนไม่ได้ ต้องรอจนกว่าแอ่งน้ำนั้นจะแห้งสนิท มันค่อยกระโดด

และอาจไปไหนไม่รอด

๑๔ฉันอยากไปเล่นเกมถอดรหัส ไม่ใช่เพราะฉันอยากได้เงิน อยากมีชื่อเสียง อยากออกทีวี หรือด้วยเหตุผลใด นอกจากความอยากรู้ ว่าฉันจะสู้เด็กๆ ได้ไหม มุมมองของฉันแปลกดี

๑๕ แต่ก่อนอื่น ฉันต้องทะลุทะลวงเส้นประสาทที่อุดตันบางเส้นของฉันให้ได้ก่อน ไม่ใช่ทุกครั้งที่มีภาพดารา นักร้อง หรือคนร่วมสมัยคนใดปรากฏภาพขึ้น แล้วฉันจะยืนตัวแข็ง ถ้าเช่นนั้นฉันก็ไม่ไปดีกว่า อาการเช่นนี้เรียกว่าการเจียมสังขาร

๑๖ แต่สิ่งเหล่านี้ ต้องมาแบบธรรมชาติ มันต้องเกิดจากการอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ไม่ใช่แค่เอาภาพของพวกเขาขึ้นมาท่องจำ ซึ่งทำแบบนั้น จะจำไม่ได้ มันไม่เป็นธรรมชาติ ฉันจะจำใครคนหนึ่งได้ ฉันต้องสนใจเขาจริงๆ เช่น จะจำนักร้องคนนี้ได้ ฉันต้องชอบฟังเพลงของเขาก่อน ทุกอย่างต้องไปเริ่มที่พื้นฐาน ฉันจะจำตลกคนไหนได้ ฉันต้องหัวเราะไปกับมุกของเขา ต้องรักเขาก่อน

๑๗ ฉันเป็นปลาว่ายทวนน้ำ เพราะฉันเป็นปลาเป็น

๑๘มนุษย์เราตกหลุมพรางได้สองแบบ

๑ ตกหลุมพรางคนอื่น

๒ ตกหลุมพรางตัวเอง

หลุมพรางที่คนอื่นขุดไว้ หลอกล่อให้คุณหล่นลงไป หรือหลุมพรางที่คุณขุดขึ้นมาเอง และตกลงไปโดยไม่รู้ตัว

ชีวิตช่างประหลาดจริงๆ เราเจอถึงสองหลุมพราง

๑๙ ฉันเป็นชีวิต ฉันจึงต้องโดดไปโดดมา ตกหลุมพรางนั้น และหนีมาตกหลุมพรางนี้ มันช่างเจ็บปวด มันน่าทรมาน

และทุกครั้งที่ฉันลงไปในหลุมพรางของฉันเอง ฉันก็ได้แต่กรีดร้อง