ขลาด-กล้า จับตา-จับผิด/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

ขลาด-กล้า

จับตา-จับผิด

 

ความเคลื่อนไหวของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” กำลังถูกจับตามองจากทุกสายตา อย่างน้อยก็จากสายตา 2,772,430 คู่ที่มองดูความเคลื่อนไหวของ “ผู้ว่าฯ กทม.” คนใหม่ด้วยความหวัง

ผู้คนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งเกิดสิ่งที่เรียกว่า ฟีเวอร์ แต่ “ชัชชาติฟีเวอร์” อาจก่อให้เกิดความน่าหมั่นไส้!

ดังจะเห็นได้ว่ายังไม่ทันที่ชัชชาติจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.อย่างเป็นทางการก็มีบางคนเสนอหน้าออกมาจุดชนวนว่า “น้ำในคลองแสนแสบดำและเหม็น”

ลองนึกดู ถ้านำข้อเสนอนี้ไปส่งมอบให้กับ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะได้รับคำตอบที่คุ้นชินกลับมาในทำนองว่า “กทม.มีผู้ว่าฯ ผ่านมากี่คนแล้วฮึ! ไปถามคนเก่าๆ โน่นว่าเป็นผู้ว่าฯ แล้วทำไมไม่ทำ ทำไมไม่แก้ไข คลองแสนแสบไม่ได้เพิ่งมาดำและเหม็นในตอนนี้”

“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ช่างบรรยายเอาไว้ได้ภาพที่คมชัดว่า

“ที่คนไม่อยากเห็น แต่เห็นจนเบื่อ คือคนพร้อมบวก อย่างท่านประยุทธ์ นายกฯ อยู่นานของเรา แค่เห็นเด็กนั่งไม่เรียบร้อยก็ด่าตั้งแต่อยู่บนโพเดียม มีคนร้องเรียนก็สั่งสอนด่าว่า ไม่รู้จักกาลเทศะ พ่อค้าแม่ค้าบ่นว่าขายของไม่ดี ก็กลายเป็นว่า ทำไมไม่ไปขายอย่างอื่น? นักข่าวถามก็โดนตอบสวนกลับ เหมือนของขึ้นพร้อมใส่คนถาม ด่าไปหมดทุกเรื่อง ท่าทีและอารมณ์ท่านขึ้นๆ ลงๆ เลยกลายเป็นว่าแทนที่ผู้นำจะคิดบวก กลับกลายเป็น ‘พร้อมบวก’ อยู่เสมอ จากแรงสร้างสรรค์ที่ผู้นำต้องมีให้ กลายเป็นแรงสิ้นหวังที่ประชาชนได้รับ ระหว่างผู้นำที่ ‘คิดบวก’ กับผู้นำที่ ‘พร้อมบวก’ ต้องคิดดูเอาครับว่าประเทศไทยต้องการผู้นำแบบไหน”

แม้ชัยชนะของ “ชัชชาติ” จะเป็นผลรวมของความหวังจากคน กทม.ทุกช่วงวัยและทุกขั้วการเมือง แต่ก็ชวนให้ปริวิตกกันว่าชัชชาติอาจจะกลายเป็น “เหยื่ออธรรม” ทางการเมือง

ในแง่มุมนี้น่าตั้งใจ “ฟัง” เสียงของอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ว่า “ชัชชาติและกองเชียร์โปรดอย่าวางใจ อย่าฝันหวาน อย่านอนใจ เผด็จการอำนาจนิยมไทยอยู่มานานเป็นร้อยปี ยึดอำนาจซ้ำๆ แล้วเขียนกติการัฐใหม่ๆ เสมอๆ ทำมาแล้วเป็นศตวรรษ และก็จะกระทำอีก”

สังคมไทยขาดทักษะและโหยหาระบอบการปกครองประชาธิปไตยเพราะ กองทัพก่อรัฐประหารเฉลี่ย 6 ปีต่อ 1 ครั้ง ระบบการศึกษา วัฒนธรรม การโฆษณาทางการเมืองจึงชวนให้เชื่อว่า “ปืน” กับการใช้ความรุนแรงเป็นทางออกของประเทศ

ทีขนเอาเงินภาษีอากรเอาไปจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์กันคึกคักไร้ประสิทธิภาพขาดความจำเป็น ไม่มีใครสนใจไถ่ถามหรือร้องเรียนให้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น

เช่นเดียวกับเรื่องจีที 200!

 

ตํานานแห่งการฉ้อฉล “จีที 200” โผล่มาอาละวาดอีกครั้งเมื่อ “จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์” ส.ส.ฉะเชิงเทรา ตั้งคำถามกลางสภาว่า การเอาเงินภาษี 7.5 ล้านบาทไปจ้างให้ “สวทช.” ตรวจกล่องพลาสติกเปล่าๆ สีดำนั่นในราคาชิ้นละ 1 หมื่นบาท รวม 757 ชิ้นนั้นทำเพื่ออะไร ทั้งโลกรู้กันหมดแล้วว่าข้างในกล่องนั้นกลวงไม่มีอะไร

กระทรวงกลาโหมใช้งบฯ ไร้สติสตังค์ขนาดนั้นได้อย่างไร

เรื่องนี้พอที่ลำดับวันย้อนหลังได้ว่า

29 กันยายน 2564 กรมสรรพาวุธทหารบก ได้ว่าจ้าง สวทช.ให้ตรวจสอบ “เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดอาวุธ และสารเสพติด จีที 200” ในราคาเครื่องละ 10,000 บาท รวม 757 เครื่อง

แต่ก่อนหน้านั้นคือ 19 กรกฎาคม 2564 “ป.ป.ช.” มีมติชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องจีที 200 มีผู้ถูกกล่าวหากว่า 100 คน

วันที่ 1 กันยายน 2564 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า จีที 200 จำนวน 757 เครื่องเป็นสินค้าไม่มีคุณลักษณะเฉพาะตามเอกสาร พิพากษาให้บริษัทชดใช้ชำระเงิน 683,441,561 บาทแก่กองทัพบก

ในคำพิพากษาศาลตอนหนึ่งระบุว่า… ผู้ฟ้องคดียอมรับว่าไม่ได้มีการตรวจสอบทางเทคนิคในการรับมอบเครื่องดังกล่าว จึงถือได้ว่าผู้ฟ้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานร้ายแรง

ตั้งแต่เกือบสิบปีก่อน กองทัพบก และกระทรวงกลาโหมไทยไม่เคยได้ยินได้ฟังบ้างหรือว่า ศาลอาญากลางโอลด์เบลเลย์ ประเทศอังกฤษ พิพากษาจำคุกและยึดทรัพย์ผู้ก่อตั้งบริษัทและจำหน่ายจีที 200 พร้อมกับชี้ว่า “เป็นอุปกรณ์ไร้ประโยชน์ ราคาไม่เกิน 5 ปอนด์”

กระทรวงต่างประเทศอังกฤษแฟร์ถึงกับส่ง “คำเตือนเร่งด่วน” ไปถึงรัฐบาลที่ซื้อจีที 200 ไปใช้

 

ไทยเราเริ่มซื้อจีที 200 มาใช้ 4 เครื่อง ราคาเครื่องละ 1.4 ล้านบาท จากบริษัท เอวิเอ แซทคอม ตั้งแต่ปี 2548-2553 แห่ซื้อกันทั้งสิ้น 1,354 เครื่อง คิดเป็นเงิน 1,135 ล้านบาท

สมัยที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. เคยออกโรงแถลงข่าวทางโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ว่า จีที 200 ใช้ได้ผลจริง ขณะที่คุณหญิงหมอ “พรทิพย์ โรจนสุนันท์” ก็ออกมาคอมเมนต์แรงว่า คนไทยชอบเต้นตามกระแส การจะใช้เครื่องมืออะไรคิดว่านักวิทยาศาสตร์ หมอ หรือทหารโง่นักหรือที่บอกว่าใช้เครื่องมือโดยไม่ดูว่าเครื่องมันทำอะไรได้ การที่จะทำอะไรเราต้องลองมัน

ล่วงมาถึงป่านนี้ ไม่มีข้อสงสัยอันใดเกี่ยวกับอุปกรณ์ฉ้อฉล จีที 200

หากแต่เมื่อ พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม อ้างว่า สำนักงานอัยการสูงสุดให้กองทัพบกตรวจสอบเครื่องจีที 200 ทั้ง 757 เครื่อง เพื่อนำไปใช้สู้คดีในศาลปกครอง กระทั่งนำไปสู่การจ้าง สวทช.ตรวจ ในราคาเครื่องละ 1 หมื่น เป็นเงิน 7.5 ล้านกว่าบาท “ประยุทธ์ เพชรคุณ” รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ก็จำเป็นต้องออกมาชี้แจงไทม์ไลน์

ต้นปี 2560 “กองทัพบก” ขอให้อัยการฟ้องบริษัท เอวิแอ แซทคอม

วันที่ 24 มกราคม 2560 อัยการมีหนังสือให้ ทบ.ส่งเครื่องจีที 200 ตรวจเพื่อทราบว่า เป็นของที่ไม่มีคุณสมบัติตามสัญญา

แต่ตอนนี้คดีสิ้นกระแสความแล้ว!

อัยการแจ้งผลคดีให้กองทัพบกทราบตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2564 แล้วว่า ฟ้องชนะคดีได้เงินคืนมากว่า 600 ล้านบาท ไม่มีความจำเป็นต้องไปตรวจอะไรกับจีที 200 อีกแล้ว

แล้วยังไงละนี่ จะเงียบสงบ สยบยอมตามวัฒนธรรมลอยนวลกันต่อไป ท่วงทำนองขึงขังของนักร้องที่ชอบจับจ้องเล่นงานแต่คนที่ไม่มีปืนหายไปไหน!?!!