ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์
นพมาส แววหงส์
INTERCEPTOR
‘สาวเตะก้น’
กำกับการแสดง
Matthew Reilly
นำแสดง
Elsa Pataky
Luke Bracey
Aaron Glenane
Mayen Mehta
เห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้เป็นผลผลิตจากช่วงล็อกดาวน์และมาตรการความปลอดภัยเข้มงวดของกองถ่ายในช่วงสองปีเศษที่ผ่านมาจากวิกฤตการณ์โควิด
นั่นคือ การจำกัดจำนวนนักแสดงที่ต้องปรากฏตัวในฉากเดียวกันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และใช้โลเกชั่นที่ “ปลอดภัย” มากที่สุด
ในที่นี้คือ ห้วงน้ำอันเวิ้งว้างกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งห้อมล้อมน้ำ…น้ำ…น้ำ…และท้องฟ้ากว้างเมื่อเงยหน้ามอง
อันเป็นสถานที่เกิดวิกฤตการณ์มหาภัยคุกคามโลกใน Interceptor
เรื่องของเรื่อง คือ มหาภัยที่คนทั้งโลก โดยเฉพาะคนอเมริกัน หวาดหวั่นเกรงภัยมากที่สุด คือสงครามนิวเคลียร์
ซึ่งจะเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม ที่ส่งผลล้างโลกครั้งมหากาฬ ลดประชากรบนโลกลงกว่าครึ่งค่อน…แบบเดียวกับเรื่องราวพิสดารพันลึกอันสนุกสนานเร้าใจชวนตื่นตะลึงที่เกิดใน Avengers : Endgame
แต่หนังเรื่องนี้ห่างไกลจาก Endgame อันระทึกเร้าใจไปเป็นโยชน์เลยละ
ตอนเปิดเรื่อง หนังแสดงให้เห็นแผนที่โลกและโปรยข้อความที่กล่าวถึง ระยะทางและวิถีของขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่จะยิงจากรัสเซียไปอเมริกา
ซึ่งสหรัฐวางสถานี “ดักจับและสกัด” (intercept) ไว้ในตำแหน่งที่ไม่ระบุพิกัดชัดเจนกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้ๆ หมู่เกาะฮาวาย
สถานีดักจับและสกัดนี้เป็นเพียงทุ่นลอยน้ำขนาดใหญ่ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำการจากศูนย์บัญชาการที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ทว่า…ไม่ว่าจะควบคุมอย่างเข้มงวดขนาดไหน ก็ต้องมีช่องโหว่ให้แทรกเข้าไปได้ เนื่องจากไม่มีสิ่งใดต้านทานความพยายามอันยิ่งยวดและแผนการอันละเอียดรัดกุม
ดังนั้น ในวันที่ร้อยเอกหญิง เจ.เจ. คอลลินส์ (เอลซา พาทากี) พร้อมด้วยประวัติอันเคยด่างพร้อยและเจ็บปวดในกองทัพ ถูกส่งตัวไปประจำการที่ “ศูนย์สกัด” กลางแปซิฟิก…
… เป็นวันที่ “เกิดเรื่องใหญ่” ขึ้นพอดี
นั่นคือ ศูนย์สกัดถูกบ่อนทำลายและคุกคามด้วยผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งที่ปลอมตัวเป็นภารโรง โดยหมายจะเข้ายึดศูนย์ควบคุมการสกัดไว้ เพื่อไม่ให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ขณะที่กลุ่มก่อการร้ายซึ่งขโมยขีปนาวุธนิวเคลียร์จากรัสเซียไป 16 ตัว ยิงขีปนาวุธที่มุ่งหน้าเข้าถล่มมหานคร 16 เมืองในประเทศสหรัฐอเมริกา
ศูนย์สกัดกลางมหาสมุทรแห่งนี้เป็นปราการด่านสุดท้ายที่ขวางกั้นแผนการก่อการร้ายทำลายชาติมหาอำนาจไว้จากผลสำเร็จขั้นมหากาฬ
และด้วยพลังใจอันยิ่งยวดและฝีมือการต่อสู้ของนายร้อยหญิงแห่งกองทัพสหรัฐตัวเล็กๆ คนเดียวคนนี้ เจ.เจ. คอลลินส์ ก็ช่วยประเทศชาติให้พ้นภัยจากวิกฤตการณ์ขั้นทำลายล้างที่เปรียบประดุจการลบล้างอเมริกาออกจากแผนที่โลก
ถ้าไม่เรียกว่า “สาวเตะก้น” ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะค่ะ
ฝรั่งใช้คำว่า kickass ซึ่งแปลว่าสุดยอดแห่งความเจ๋ง แบบที่เตะก้นทุกคนที่ขวางหน้าได้หมดไม่มีเว้นขนาด เว้นรุ่น เว้นน้ำหนัก
และแล้วเพียงเมื่อเปิดเรื่องไปไม่ทันไร ผู้ชายตัวโตล่ำน้ำหนักตัวกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับเจ.เจ. ผู้อรชรอ้อนแอ้น ซึ่งเป็นคนที่เข้ามาขวางหน้าเธอ ก็ถูก “เตะก้น” จนหมอบราบเค้เก้ แบบไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีก ในการต่อสู้ตัวต่อตัว เพื่อสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายเข้าไปในห้องควบคุมการสกัดกั้นได้
เจ.เจ.พาตัวเองเข้าไปปิดล็อกอยู่ในห้องควบคุม ซึ่งมีเพียงตัวเธอ ราหุล ชาห์ (มาเยน เมห์ตา) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณหนุ่มเลือดภารตะ และผู้บาดเจ็บฝ่ายเดียวกันอีกคนเท่านั้น
เธอยังพบอีกว่า สองคนที่อยู่ด้วยกับเธอนั้นไม่มีทีท่าว่าจะช่วยอะไรเธอได้มาก เพราะชาห์หวาดหวั่นวิตกแทบไม่เป็นส่ำกับสถานการณ์เฉพาะหน้า ส่วนอีกคนก็นอนไม่ได้สติอยู่
กว่าที่วอชิงตัน ดี.ซี. จะส่งกำลังมาช่วยเธอปกปักรักษาศูนย์สกัดกลางมหาสมุทรแห่งนี้ได้ ก็คงจะสายเกินไปแล้ว…
ดังนั้น นี่จึงเป็นการ “โชว์พาว” ของหญิงทรหดแบบ die-hard คนเดียวล้วนๆ ผู้ซึ่งจะนำพาประเทศชาติฝ่าฟันวิกฤตการณ์ โดยไม่ยอมประนีประนอมกับข้อเรียกร้องของศัตรูเลย
นี่เป็นหนัง Woke อย่างเห็นได้ชัด Woke เป็นกระแสนิยมของการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม โดยต่อต้านการเหยียดผิว เหยียดเพศ เหยียดความเหลื่อมล้ำ เหยียดอะไรต่อมิอะไรสารพัดนั่นแหละค่ะ
ดังนั้น ตัวเอกของเรื่องจึงเป็นผู้หญิง และวีรบุรุษที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นวีรบุรุษอีกคน เป็นคนผิวสี ซึ่งในที่นี้คือคนอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผู้มีความรักชาติมากกว่าคนอเมริกันแท้ๆ บางคน
และผู้ร้ายเป็นชาวอเมริกันที่อ้างว่ารักชาติ แต่ผิดหวังและหมดหวังในชาติเสียจนต้องทำลายให้สิ้นซากไปเสีย
บางสิ่งในหนังสะท้อนให้เห็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธว่ามีความจริงอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “(เรา) เป็นผลผลิตของสังคมที่ล้มเหลว สังคมที่เอาแต่ให้รางวัลตอบแทนแก่คนมีเงินและละเลยสิ่งอื่นทุกสิ่ง”
แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหนังที่ตื้นเขิน หวือหวา ไร้เหตุผลจนน่าขัน มีพัฒนาการของตัวละครและปมปัญหาอย่างผิวเผินจนไม่แทรกลึกลงไปจับใจจับอารมณ์ร่วมของเราได้
ใครใคร่ดูก็เชิญดูนะคะ แต่ไม่ได้ดูก็ไม่ได้พลาดอะไรไปหรอกค่ะ
อ้อ มีนิดเดียวที่เรียกรอยยิ้มได้ คือ คริส เฮมส์เวิร์ธ มาปรากฏตัวในบทเล็กๆ โดยแต่งหน้าแต่งตัวเฟอะฟะเสียแทบจำไม่ได้
เผอิญเหลือบไปเห็นในเครดิตตอนจบว่าดาราขวัญใจในบทเทพเจ้าแห่งสายฟ้าคนนี้เป็นโปรดิวเซอร์ระดับผู้บริหาร นอกจากการเป็นสามีของเอลซา พาทากี ซึ่งแสดงเป็นตัวนางเอกอีกต่างหาก
แต่ไม่รู้จะอุ้ม จะชู จะเชียร์ขึ้นหรือเปล่าก็ยังสงสัย เพราะนักแสดงสาวคนนี้ถือว่ายังเล่นได้ไม่ผ่านสำหรับหนัง “สาวเตะก้น” เรื่องนี้ •
ชมตัวอย่างภาพยนตร์ INTERCEPTOR ได้ที่นี่