ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
เผยแพร่ |
ในห้วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ นับแต่ที่มีการบูรณะขุดแต่งโบราณสถานที่เรียกว่า “เขาคลังนอก” ในเมืองโบราณศรีเทพเสร็จสิ้น (ตั้งอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์) เห็นได้ว่านักวิชาการด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะแถวหน้าของสยามจำนวนไม่น้อย พร้อมใจกันตั้งข้อสมมุติฐานว่า “หรือศรีเทพ คือจุดเริ่มต้นของอาณาจักรทวารวดี?”
เหตุที่คำว่า “ศรีเทพ” นั้นเป็นชื่อใหม่ที่มาเรียกกันภายหลัง ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิม อีกทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ขุดพบในเมืองศรีเทพนี้ จัดเป็นโบราณวัตถุรุ่นเก่ามาก เมื่อเทียบกับที่พบในแหล่งโบราณคดีอื่นๆ
ในช่วงแรกๆ ทฤษฎีดังกล่าวนี้ อาจถูกคัดค้านอยู่บ้าง เนื่องจากมองว่า ศรีเทพตั้งอยู่บนพื้นที่ตอนในค่อนข้างลึกมาก ไม่ได้อยู่ติดทะเลชายฝั่งเหมือนกับเมืองทวารวดีอื่นๆ อาทิ นครปฐม อู่ทอง (ในสุพรรณบุรี) หรือละโว้ (ลพบุรี)
เมืองที่อยู่ตอนใน ห่างไกลทะเลจักเป็นศูนย์กลางรัฐที่รุ่งเรืองได้อย่างไรกัน นั่นคือคำถามที่เข้ามาสกัดกั้น ปฏิเสธมิให้ศรีเทพกลายเป็นหัวใจของรัฐทวารวดีไปได้
แต่จนแล้วจนรอด การค้นพบเทวรูปรุ่นเก่าที่สะท้อนถึงลัทธิการบูชาพระสุริยเทพ และลัทธิการบูชาพระกฤษณะ สองลัทธิโบราณที่ยังตกค้างอยู่ในเมืองศรีเทพ ซึ่งหารูปเคารพของเทพเจ้าสองลัทธิที่กล่าวมาค่อนข้างยากในพื้นที่อื่นของรัฐทวารวดีที่ร่วมสมัยกัน ทำให้เริ่มมีผู้เชื่อถือทฤษฎีที่ว่า “ศรีเทพน่าจะเป็นศูนย์กลางรัฐทวารวดีในหน้าแรกๆ ก็เป็นได้” มากยิ่งขึ้นทุกวัน
แนวคิดดังกล่าวนี้ ดิฉันก็เห็นคล้อยด้วยเช่นกัน แม้จะรู้ว่าการไปเรียกดินแดนแถบศรีเทพนี้ว่าเป็นรัฐทวารวดี ย่อมถูกคัดค้านจากนักจารึกวิทยากลับเอาได้ว่า “อยู่ไหนหรือในศรีเทพ มีไหม เหรียญเงินที่จารึกคำว่า ศฺรีทฺวารวตี ศฺวรปุณยฺ” ซึ่งแปลว่า “บุญกุศลของพระเจ้ากรุงทวารวดี” หรือ “ผู้เป็นเจ้าแห่งศรีทวารวดี ผู้มีบุญอันประเสริฐ” เฉกเช่นที่มีการพบเหรียญเงินเหล่านี้ในเมืองอื่นๆ ทั้งที่นครปฐม อู่ทอง อินทร์บุรี (ในสิงห์บุรี) และละโว้
ดิฉันมีตรรกะใดมารองรับล่ะหรือ จึงได้สนับสนุนทฤษฎีตามที่นักวิชาการเชื่อกันว่าศรีเทพคือศูนย์กลางแห่งแรกสุดของรัฐทวารวดี
ข้อสนับสนุนของดิฉันอยู่ที่ การค้นพบว่า “ศรีเทพ” เคยมีชื่อเดิมในตำนาน (อย่างน้อยสองฉบับ) ว่า “เมืองอโยธยา” และบางครั้งก็ถูกเรียกว่า”มหานคร” อันเป็นเมืองที่ดิฉันตามหาอยู่นาน
หมายเหตุ อโยธยาที่กล่าวถึงในที่นี้ หาใช่ “เมืองอโยธยารุ่นใหม่” ยุคพุทธศตวรรษที่ 19 ลงมาแล้ว ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม “กรุงศรีอยุธยา” แต่อย่างใดไม่ หากกำลังพูดถึง “เมืองอโยธยารุ่นเก่า” ที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-15 กล่าวคือ ต้องเป็นเมืองที่ร่วมสมัยกับ “ลวะปุระ” และ “หริภุญไชย” เท่านั้น
ทำไมจึงต้องตามหาเมืองอโยธยา และทำไมจึงสันนิษฐานว่าอโยธยาคือเมืองศรีเทพ?
เหตุที่ดิฉันพยายามถอดรหัส “ตำนานสองเรื่อง” อันเกี่ยวเนื่องกับ “พระพุทธรูปสำคัญสององค์” ที่มีการโยกย้ายจากเมือง “อโยธยา” แล้วนำขึ้นมาสู่เมืองทางเหนือในดินแดนล้านนา
องค์แรกคือพระแก้วมรกต (อมรโกฏ) และอีกองค์คือพระสิกขีปฏิมาศิลาดำ แน่นอนว่ายุคสมัยที่พระภิกษุกำลังรจนาตำนานทั้งสองฉบับนี้ “เมืองอโยธยา” ได้ถูกย้ายศูนย์กลางมาตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาแล้ว ทว่า ในความทรงจำของคนเมื่อ 500 ปีก่อน ยังคงเรียกเมืองอีกเมืองหนึ่งว่า “อโยธยา” เป็นเงาซ้อนลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง
แม้ไม่บอกพิกัดทำเลที่ตั้ง แต่ดิฉันพอจะอนุมานได้ว่า เมืองอโยธยาในตำนานนั้น ควรเป็น “เมืองโบราณศรีเทพ” อย่างค่อนข้างแน่นอน

ไขปริศนาชื่อ “อโยชฌปุระ”
ในตำนานพระแก้วมรกต
ตํานานรัตนพิมพวงศ์ ได้กล่าวถึงเส้นทางของพระแก้วมรกต ที่ต้องระหกระเหินจาก “เมืองอินทปัตถ์” ในกัมพูชา (ก่อนหน้านั้นถูกย้ายจากอินเดียสู่ลังกา และจากลังกาสู่เขมรมาแล้ว) ต้องถูกย้ายอีกคราว ถือเป็นการนำพระแก้วมรกตเข้ามาสู่ดินแดนที่ปัจจุบันอยู่ในเขตผืนแผ่นดินไทยครั้งแรก โดยระบุว่าเมืองนั้นชื่อ “อโยชฌา/อโยชฌปุระ” หรือ “อโยธยา”
อโยชฌา/อโยชฌปุระ/อโยธยา/ ในตำนานระบุว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตอนเหนือ ถัดขึ้นไปจากอาณาจักรละโว้หรือ “ลวะปุระ” โดยเมืองอโยธยานี้มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งชื่อ “อาทิตยราช” เป็นผู้ได้ครอบครององค์พระแก้วมรกตที่พระภิกษุชาวกัมโพช นำมาถวายให้พระองค์ด้วยการพาหนีมาจากกรุงอินทปัตถ์
ขอให้ดูทำเลที่ตั้ง มีการระบุว่า “ตั้งอยู่ทิศเหนือของกรุงละโว้”
หากพิจารณาแค่ชื่อกษัตริย์ “อาทิตยราช” ก็ย่อมพุ่งเป้าไปที่ “นครหริภุญไชย” หรือลำพูน เมืองที่มีกษัตริย์ผู้เกรียงไกร พระนามว่าอาทิตยราชเหมือนกัน
ทว่า ตามที่ดิฉันได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้วในบทความนี้หลายปีก่อนว่า ในเมื่อชื่อของ “หริภุญไชย” เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในสมัยล้านนาช่วงที่พระภิกษุกำลังรจนา ตำนานรัตนพิมพวงศ์ หากผู้ประพันธ์ต้องการสื่อถึงเมืองลำพูน ไยจึงไม่เรียกตรงๆ ไปเลยว่า “หริภุญไชย” ไฉนมาเรียกด้วยชื่อ “อโยธยา” เล่า
ดังนั้น “อโยธยา” เมืองที่ตั้งอยู่เหนือละโว้ในตำนานรัตนพิมพวงศ์นั้น จึงไม่ควรหมายถึง “หริภุญไชย” ไปได้ ถ้าเช่นนั้น เมืองที่อยู่เหนือละโว้ขึ้นไป เมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-15 ควรจักเป็นเมืองใดเล่า
พิจารณาจากที่ตั้ง ความยิ่งใหญ่รุ่มรวยอารยธรรมสมัยต้นทวารวดีของเมืองศรีเทพแล้ว ควรหมายถึงเมือง “อโยธยา” ที่ระบุในตำนานนี้ได้หรือไม่

อโยชฌปุระในตำนานพระสิกขีปฏิมาศิลาดำ
ตํานานเรื่อง “พระสิกขีปฏิมาศิลาดำ” ไม่ได้แยกพิมพ์เป็นเล่มต่างหาก ทว่า แฝงไว้อยู่ในหนังสือชื่อ “ชินกาลมาลีปกรณ์” โดยกล่าวถึงชื่อเมือง อโยชฌปุระว่า
“ได้ยินว่า ยังมีหินดำก้อนหนึ่ง ทางด้านฝั่งตะวันตกแม่น้ำ ไม่ไกล อโยชฌปุระ ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคของเราเมื่อดำรงพระชนม์ชีพอยู่…ประทับนั่งบนก้อนหินดำนั้น ตั้งแต่นั้นมา เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายกราบไหว้บูชาหินดำก้อนนั้น”
ข้อความถัดมากล่าวว่า
“ต่อจากนั้นมา มีพระราชาธิราชองค์หนึ่ง ในรัมมนะประเทศ เป็นใหญ่แก่เจ้าประเทศทั้งหลาย ทรงดำริอย่างนี้ว่า หินก้อนนี้ แม้เป็นเพียงมีฐานะเป็นเครื่องใช้สอย แต่ก็ยังเป็นไปเพื่อบุญใหญ่หลวงแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะทำหินก้อนนั้นให้เป็นพระพุทธปฏิมา และพระพุทธปฏิมาองค์นี้ จะได้เป็นไปเพื่อบุญใหญ่หลวงยิ่งๆ ขึ้นไปแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจนกว่าศาสนาจะอันตรธาน”
“ครั้นทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งให้ประชุมช่างปฏิมากรรมทั้งหลาย แล้วโปรดให้ช่างทำหินก้อนนั้นให้เป็นพระพุทธรูปจำนวน 5 องค์ ครั้นทำเสร็จแล้ว องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในมหานคร องค์หนึ่งอยู่ในลวปุระ องค์หนึ่งอยู่ในเมืองสุธรรม อีก 2 องค์ประดิษฐานอยู่ในรัมมนะประเทศโพ้น”
คราวที่เขียนบทความเรื่องพระสิกขีปฏิมาศิลาดำยาวถึง 7 ตอน ดิฉันเคยตั้งคำถามว่าเมือง “มหานคร” อยู่ที่ไหนหรือ ตอนแรกตำนานเรียกเมืองที่มีหินดำว่า “อโยชฌปุระ” แต่เรียกไปเรียกมากลับเรียกอีกชื่อว่า “มหานคร” หมายความว่าต้องเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มาก
โดยที่เมืองอโยชฌปุระ (อโยธยา) หรือมหานครนี้ ต้องตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมือง “ลวปุระ” (ละโว้/ลพบุรี) มากเกินไปนัก เหตุที่มีสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถึงขนาดที่ว่าหลังจากที่แกะสลักพระสิกขีปฏิมาศิลาดำ 5 องค์แล้ว เมืองอโยธยาได้มีการมอบให้เมืองละโว้ด้วย 1 องค์ (เป็นองค์ที่ต่อมากษัตริย์ละโว้ได้มอบให้พระราชธิดาคือพระนางจามเทวี นำติดตัวมายังนครหริภุญไชยด้วย)
เมืองที่มี “หินดำ” คือเมืองไหนหนอ? ต้องเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มหึมา (มหานคร) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับละโว้ และต้องเป็นเมืองเครือข่ายที่ประชากรพูด/ใช้ภาษามอญ (เพราะมีการมอบพระสิกขีฯ ให้เมืองรัมมะปุระด้วยถึง 2 องค์ รัมมะ=รามัญ, มอญ) เมืองนี้ควรตั้งอยู่ที่ใดหรือ มีความเป็นไปได้ทั้ง นครปฐม อู่ทอง และศรีเทพ
แต่ให้เผอิญว่า เมื่อเราเอาตำนานพระแก้วมรกตมาสอบเทียบกัน พบว่าทำเลของ “อโยธยา/อโยชฌปุระ” นั้น ตั้งอยู่ทิศเหนือของละโว้ ดังนั้น จึงควรตัดเมืองทวารวดีรุ่นเก่าอย่างนครปฐมและอู่ทองทิ้งไป ก็จะเหลือแค่เมืองศรีเทพเท่านั้น

อโยธยาศรีทวารวดี
คือเมืองพระกฤษณะ
ชื่อของอโยธยา มาจากชื่อเต็มว่า อโยธยาศรีทวารวดี หรือทวารวดีศรีอโยธยา ชื่อนี้ในอินเดียถือว่าเป็นเมืองที่พระกฤษณะสร้าง สอดรับกับการที่เมืองศรีเทพพบเทวรูปพระกฤษณะอยู่หลายองค์
ดิฉันได้แลกเปลี่ยนประเด็นนี้กับ ดร.อัครินทร์ พงษ์พันธ์เดชา นักวิชาการด้านหริภุญไชยศึกษา ดร.อัครินทร์มีความเห็นว่า
“เป็นไปได้ทีเดียวที่เมืองศรีเทพจะเป็นเมืองอโยธยาศรีทวารวดีเก่า โดยยุคแรกมีละโว้เป็นเมืองลูกหลวงหรือปราการหน้าด่านทางทิศใต้ เงื่อนไขแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครรัฐในอดีต อาจไม่เหมือนกับปัจจัยในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับความต้องการในการแลกเปลี่ยนสินค้า บางทีเมื่อพันปีเศษเมื่อก้าวพ้นสังคมบุพรกาลมาใหม่ๆ มนุษย์อาจยังต้องการของป่า แร่เหล็กต่างๆ
เมืองศรีเทพตั้งอยู่ต้นแม่น้ำป่าสัก เป็นแหล่งอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ น่าจะมีการลำเลียงสินค้าประเภทแร่ธาตุและของป่าจากแม่น้ำป่าสัก ผ่านลงมายังรัฐละโว้ กระทั่งผ่านไปจนถึงพุทธศตวรรษที่ 15-16 ความต้องการสินค้าของป่าจากศรีเทพอาจลดน้อยถอยลง หรืออาจเกิดโรคระบาดในศรีเทพก็เป็นได้ ทำให้เมืองร้างไปในช่วงที่อิทธิพลขอมเริ่มเข้ามาแทนที่ เป็นเหตุให้ศูนย์กลางความเจริญของทวารวดี มีการเคลื่อนย้ายลงไปสู่รัฐละโว้ทางตอนล่าง”
ส่วนการนำคำว่า “อโยธยา” หวนกลับมาใช้อีกครั้ง สำหรับราชธานีกรุงศรีอยุธยา เมืองที่อยู่ติดอ่าวไทยนั้น ดร.อัครินทร์มีความเห็นว่า
“ครั้นเมื่ออยุธยาค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวจนแข็งแกร่งขึ้น แยกตัวออกมาจากละโว้แล้ว ประชากรส่วนหนึ่งก็คือละโว้เก่า ผสมกับอโยธยาเก่า (ซึ่งเคยอยู่ที่ศรีเทพ) เมื่อสร้างเมืองใหม่ใกล้ชายฝั่งทะเล คงได้นำชื่อ ‘อโยธยาศรีทวารวดี’ หรือ ‘ทวารวดีศรีอยุธยา’ หวนกลับมาใช้กับนครรัฐใหม่อีกรอบเพื่อความเป็นสิริมงคล ช่วงนั้นสถานะบทบาทของละโว้ จากเมืองที่เคยยิ่งใหญ่ระดับมหานคร (แทนที่ศรีเทพ) ต้องกลายมาเป็นเมืองลูกหลวงของอโยธยาใหม่ (อยุธยา) ไป ส่วนอโยธยาเก่าในยุคทวารวดี ก็ถูกทิ้งร้างไปนานหลายศตวรรษ และสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มาเรียกขานชื่อใหม่ว่า ศรีเทพ”
ข้อสมมุติฐานของ ดร.อัครินทร์นั้น มีความเป็นเหตุเป็นผลอยู่พอควร ซึ่งประเด็นเรื่องข้อสันนิษฐานว่าด้วยเมืองศรีเทพคืออดีตศูนย์กลางทวารวดีอันยิ่งใหญ่นี้ เราคงต้องช่วยกันศึกษาให้รอบด้านกันอีกแบบสหศาสตร์ •