ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand
ณัฐพล ใจจริง
ในหลวงอานันทฯ
ทรงอวยพรในงานวันชาติ 2482
“วันที่ 24 มิถุนายนว่าให้ชัด เป็นวันจัดฉลองชาติศาสนา ทั้งไพร่บ้านพลเมืองเรืองฦๅชา ไชโยมโหฬาร จะดูไหนก็วิไลขบวนแห่ ทั้งเสียงแตรดังก้องท้องสนาม รถธงชาติออกหน้ามหาฤกษ์ เอิกเกริกครื้นครั่นสนั่นไหว จะดูไหนก็วิไลไปทั้งนั้น สารพันจัดเสร็จเด็ดหนักหนา ไปดูแล้วเพลิดเพลินเจริญตา ชาวประชาร่าเริงบันเทิงใจ ให้ชาติไทยรุ่งเรืองกระเดื่องเดช ทั่วประเทศเกรงอำนาจไม่อาจหาญ ต่อไปภายหน้ากล้าสงคราม ขนานนามเรืองเดชประเทศไทย”
(หงส์ ภัทรนาวิก , 2482, คำนำ)
กลอนข้างต้น แต่งโดยชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้น เขาแต่งขึ้นและพิมพ์แจกเป็นพุทธบูชา ให้พระสงฆ์และเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายทราบถึงการเปลี่ยนแปลงนี้
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2481 รัฐบาลพระยาพหลฯ มีมติให้วันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปีเป็น “วันชาติ”
ต่อมา รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ผนวกการฉลองการแก้ไขสนธิสัญญากับต่างประเทศที่ไทยเคยทำมาแต่สนธิสัญญาเบาว์ริ่งจนหมดสิ้นเมื่อปี 2481 ให้จัดฉลองพร้อมกันในคราเดียวกับวันชาติในปี 2482 ด้วยชื่อ งานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา อันสะท้อนให้เห็นว่า ชาติไทยได้มีเอกราชอย่างแท้จริงแล้ว
ควรบันทึกด้วยว่า ก่อนที่ความหมายของคำว่า “ชาติ” จะหมายถึง ความสำนึกถึงอัตลักษณ์ร่วมกันของกลุ่มคนขนาดใหญ่ว่าพวกตนเองนั้นมีสิทธิและเสรีภาพในฐานะสมาชิกของชุมชนนั้นและยังมีความชอบธรรมในการกำหนดความเป็นไปของชุมชนนั้นๆ อีกด้วย อันเป็นความหมายของชาติทางการเมืองตามแบบสมัยใหม่ตามข้อเสนอของแอร์เนสต์ เรอนอง (Ernest Renan) ที่รับรู้กันทั่วไปนั้น (แอร์เนสต์ เรอนอง, 2561)
“ชาติ” ในความหมายดั้งเดิมของไทยมิได้หมายถึงประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ แต่ชาติหมายถึง ชา-ติ อันแปลว่า กำเนิด ต่อมาคำดังกล่าวถูกนำมาผูกโยงเข้ากับความชอบธรรมทางการเมืองจนกลายมามีความหมายในเวลาต่อมาว่า ชาติ หมายถึง พระมหากษัตริย์
และเมื่อความรู้และวิทยาการไหลสมัยใหม่หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศ ชาติตามความหมายเดิมจึงเริ่มถูกตั้งคำถามจากปัญญาชนมากยิ่งขึ้น
การประชันขันแข่งของ “ชาติ”
ในช่วงปลายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เกิดการแข่งขันของแนวคิดเรื่องชาตินิยมดังที่แมตธิว โคปแลนด์ (Matthew Copeland) (1993) นักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องไทยเสนอว่า นับแต่ช่วงปลายระบอบเก่า เริ่มเกิดกระแสการต่อสู้ของแนวคิดชาตินิยม 2 กระแส
กล่าวคือ ชาติในความหมายแรกนั้น เกิดจากเหล่าปัญญาชนในราชสำนักได้รับคติความเชื่อดั้งเดิมที่ครอบงำสังคมอยู่อย่างยาวนานว่า พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงบุญญาบารมีเป็นหลักของอาณาจักร จนนำไปสู่ความเชื่อว่า สยามอยู่รอดปลอดภัยด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่มาของความชอบธรรมแห่งการปกครองประชาชน และนับแต่รัชสมัยพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงได้พัฒนาแนวคิดเรื่องชาติ คือ พระมหากษัตริย์ ขึ้นมา จวบจนสมัยพระปกเกล้าฯ หนังสือพิมพ์และเหล่าปัญญาชนเริ่มนำเสนอแนวคิดว่าด้วยชาติในความหมายใหม่ว่า ชาติ คือ ประชาชน เพื่อโต้แย้งแนวคิดจากราชสำนัก (Matthew Phillip Copeland,1993, 209-210)
ดังเบน แอนเดอร์สัน (Ben Anderson) เสนอว่า ชาติเป็นจินตนาการร่วมกันของสังคม โดยชนชั้นนำมีบทบาทสำคัญในการสร้างจินตนากรรมเรื่องชาติให้กับสังคมนั้นยึดถือ (เบน แอนเดอร์สัน, 2552)
จะเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่อง ชาติในสมัยรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นเป็นชาติที่มีช่วงชั้นสูงต่ำที่ไม่เสมอภาคกันส่งผลทำให้ชาติตามความหมายเก่าถูกท้าทายจากปัญญาชนในช่วงปลายระบอบเก่า พวกเขาพยายามสร้างชาติตามความหมายใหม่โต้แย้งแนวคิดเดิมอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลและปัญญาชนในระบอบเก่าพยายามจะใช้ทุกกลไกในการปิดกั้น แต่ก็มิอาจหยุดยั้งแนวคิดใหม่ที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้นจนในที่สุดเกิดการปฏิวัติ 2475 ขึ้น
สำหรับคนหนุ่มร่วมสมัยหลังการปฏิวัติเห็นว่า วันที่ 24 มิถุนายน คือ วันชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นวันที่ไทยเริ่มการปกครองใหม่ในระบอบประชาธิปไตย และเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตจิตใจชาวไทยทั้งชาติให้เป็นคนระบอบใหม่ มีสิทธิอิสระเสรี มีความเสมอภาคทั่วหน้ากันตามรัฐธรรมนูญ และอำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครอง แต่เดิมเป็นของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว มาบัดนี้เป็นของประชาชาติไทย ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ สมภาพและภราดรภาพทั่วหน้ากัน (บุญเรือน เกิดศิริ, 2483, 50-51)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้น บริบทสงครามโลกครั้ง 2 ที่เริ่มก่อตัวในยุโรปแล้ว เมื่อเยอรมนีบุกโปแลนด์ (2482) ส่วนในเอเชียเมื่อญี่ปุ่นเริ่มก้าวขึ้นมามีอำนาจด้วยบุกรุกแมนจูเรีย (2474) และติดตามด้วยการปะทะกันที่สะพานมาร์โคโปโล (2480) อันเป็นสัญญาณของสงครามใหญ่และกระแสชาตินิยมแพร่สะพัดมากขึ้น
ผนวกกับช่วงเวลานั้น ไทยเกิดการปฏิวัติ 2475 ติดตามด้วยการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยม แต่ในที่สุด คณะราษฎรสามารถปราบปรปักษ์ทางการเมืองปราบปรามปรปักษ์ทางการเมืองลงได้ นับแต่การล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯ ลง (2476) การปราบกบฏบวรเดช (2476) ติดตามด้วยการสละราชย์สมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (2478) จนทำให้การเมืองของระบอบใหม่มีเสถียรภาพมากขึ้น
และเมื่อรัฐบาลประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติ ซึ่งชาติมีความหมายใหม่ว่า คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ด้วยเหตุจากความมั่นคงทางการเมือง รัฐบาลคณะราษฎรที่ได้รับจากประชาชน ทำให้รัฐบาลมีความมั่นใจในความชอบธรรม ติดตามด้วย ประกาศให้มีการใช้ “เพลงวันชาติ” เป็นเฉลิมฉลองในวันชาติด้วย
ดังในเพลงมีข้อความที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงคติของชาติแบบเก่ามาสู่แบบใหม่ว่า
“ยี่สิบสี่มิถุนา- ยนมหาศรีสวัสดิ์ ปฐมฤกษ์ของรัฐธรรมนูญของไทยเริ่มระบอบแบบอารยประชาธิปไตย ทั่วราษฎรไทย ได้สิทธิเสรี…ชาติประเทศเหมือนชีวา ราษฎร์ประชาเหมือนร่างกาย…” (กรมโฆษณาการ, 2482, ก)
“ขอให้ประชาชาติของเราและชาวไทย
จงมีความสุขสมบูรณ์ทุกประการ”
การจัดงานฉลองวันชาติที่เกิดขึ้นครั้งแรกในไทยขึ้น โดยขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงประทับอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงได้มีพระราชโทรเลขอวยพรประชาชนชาวไทยในโอกาสวันชาติ ซึ่งทางคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระนครก็ได้มีโทรเลขโต้ตอบกลับการอวยพรในวันชาติเป็นโทรเลขไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยช่นกัน
ทั้งนี้ พระราชโทรเลขฉบับนั้น พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสอวยพรถึงประชาชนไทยผ่านคณะผู้สำเร็จราชการฯ ว่า
“คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
กรุงเทพฯ
“เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคลแห่งวันชาติของเรานี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความปรารถนามาด้วยความยินดียิ่ง ขอให้ประชาชาติของเราและชาวไทยจงมีความสุขสมบูรณ์ทุกประการ”
(พระปรมาภิไธย) อานันท” (silpa-mag.com)
ทั้งนี้ พระองค์ทรงมีพระราชโทรเลขอวยพรประชาชนชาวไทยอย่างต่อเนื่อง จวบกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป ส่งผลทำให้การติดต่อผ่านโทรเลขไม่สะดวก ดังนั้น พระราชโทรเลขอวยพรเมื่อคราวปี 2484 จึงเป็นคราวสุดท้าย
กล่าวโดยสรุป คำอวยพรที่ปรากฏในพระราชโทรเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณใส่พระทัยต่อกิจการบ้านเมือง อีกทั้งทรงยอมรับและร่วมยินดีกับ “ชาติ” ตามความหมายใหม่ของระบอบประชาธิปไตยด้วย