คำ ผกา | ปมเด่นเลขไทย

คำ ผกา

อยู่ๆ การใช้เลขไทยก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหนึ่งที่ค่อนข้างน่าขำและน่าเสียใจไปพร้อมๆ กันเมื่อคิดถึงความล้าหลังในหลายเรื่องของสังคมไทย

และทำให้นึกถึงประเด็นเรื่องการออกจากภาวะอาณานิคมหรือ decolonization อันเป็นประเด็นที่ดูแปลกแยกมากที่จะคุยเรื่องนี้กับคนไทย เพราะเราเชื่ออย่างสนิทใจไปแล้วว่า “ไทย” ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร

เราจึงไม่ต้องมีกระบวนการเอาตัวเองออกจากสภาวะ “อาณานิคม”

เรื่องเลขไทย กับการเอาตัวเองออกจากสภาวะอาณานิคม เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

 

อธิบายอย่างหยาบที่สุด อันดับแรก เราต้องเข้าใจว่า ประเทศเจ้าอาณานิคมนั้นเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่และเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ก่อน (ด้วยบริบททางประวัติศาสตร์ของเขา) เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เมื่อประเทศเหล่านี้เข้ามายึดเมืองในเอเชีย ในแอฟริกา เป็นเมืองขึ้น เมืองที่ตกเป็นเมืองขึ้นเหล่านี้ยังมีสถานะเป็น “รัฐก่อนสมัยใหม่” ปกครองด้วยเจ้าครองนคร เป็นระบบศักดินา ข้าทาส

คำว่าเป็นเมืองขึ้นในที่นี้ด้านหนึ่งจึงหมายถึงการที่บริษัททางการค้าของประเทศอาณานิคมเข้ามาทำ “ดีล” กับเจ้าครองนครที่เป็น “คนพื้นเมือง” อันปกครองไพร่ฟ้าข้าบริวารของตนเอง ในฐานะที่เป็น subcontract ทางการค้าของตนเอง และแบ่งปันผลประโยชน์กัน

ดังนั้น ชนชั้นนำ ชนชั้นปกครองในรัฐชาวพื้นเมืองด้านหนึ่งก็ได้ส่วนแบ่งความมั่งคั่งจากการทำการค้ากับบริษัทของประเทศเจ้าอาณานิคม

แต่ไพร่ฟ้าข้าบริวารชาวพื้นเมืองต้องกลายเป็น แรงงานภายใต้กฎหมาย การบังคับ ควบคุมของประเทศเจ้าอาณานิคม

พูดง่ายๆ มันคือกระบวนการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาสที่เปลี่ยนมือจากเจ้าครองนครไปสู่เจ้าอาณานิคม

และเนื้อใหญ่ใจความความของการตกเป็นอาณานิคมมันจึงเป้นเรื่องอำนาจอธิปไตยทางการศาล และอำนาจอธิปไตยที่เป็นของ “มวลชน”

 

การเรียกร้องเอกราชจึงหมายถึงการปลดแอกของจากทั้งการไพร่ เป็นทาสของมูลนายเจ้าครองนครเดิมและการเป็นแรงงานทาสถูกปฏิบัติเยี่ยงสัตว์เลี้ยงในฟาร์มของเจ้าอาณานิคมด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อนำไปสู่การประกาศเอกราช – independent – คือพลเมืองที่เป็นไทแก่ตนเอง ไม่ใช่ไพร่สักเลกของใคร และไม่ใช่แรงงานดั่งวัว ควายของบริษัททางการค้าที่ไหน แต่เป็นคนเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของชาติ มีอธิปไตย

คำว่าเอกราชจึงสำคัญมากเพราะมันคือวันประกาศว่า ณ วันนี้ เราได้เป็น “คน” ที่มีสิทธิ เสรีภาพ มีศักดิ์ศรีและเป็นเจ้าของอำนาจในการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์

ประเทศที่ประกาศเอกราชเป็นอิสระจากอาณานิคม จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกลายเป็นรัฐสมัยใหม่ที่ไม่ใช่ระบบเจ้าขุนมูลนายอีกต่อไป

แต่บริหารงานประเทศภายใต้รัฐบาลที่ประกอบไปด้วย “สามัญชน” เกือบทั้งหมด

การประกาศเอกราชจึงหมายถึงกระบวนการเข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน

อีกด้านหนึ่งคือโครงการ “สร้างชาติ” สร้างอัตลักษณ์ของคนในชาติร่วมกัน การสถาปนาชุดประจำชาติ อาหารประจำชาติ ดนตรีประจำชาติ ไปจนถึงภาษามาตรฐานที่จะใช้เหมือนกันทั้ง “ชาติ” นั่นคือกระบวนการ standardized ภาษา และเพื่อลบออกซึ่งมรดกของระบบเจ้าขุนมูลนายและการปกครองแบบนครรัฐแบบเดิมที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ภาษาถิ่น จึงต้องประดิษฐ์ “ภาษา” ขึ้นมาใหม่บ้างก็เรียกว่าภาษากลาง บ้างก็เรียกว่าภาษาประจำชาติ

เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เราจะเห็นว่ามีการสร้างภาษาขึ้นมาใหม่หมดเลย และเขียนด้วยตัวอักษรโรมัน

ประเทศ “ใหม่ๆ” เหล่านี้จึงไม่สูญเสียสำนึกแห่งการก่อร่างสร้างชาติของตนเองที่มาพร้อมกับขบวนการต่อสู้เพื่อปลดแอกจากอาณานิคม ตระหนักอยู่เสมอว่า ชาติเรานั้นใหม่เหลือเกิน และภาษาของเราก็ใหม่เหลือเกิน

ทว่า มันคือสัญลักษณ์แห่งการปลดแอกและศักดิ์ศรีของสามัญชน ไม่เกี่ยวกับมรดกพันปีของใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้จัก

 

เคสของประเทศไทยนั้นซับซ้อนเพราะการเป็นอาณานิคมของเราเป็นอาณานิคมอำพราง

เราไม่พูดเรื่องสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในฐานะการสูญเสียเอกราชทางการศาล

ขณะเดียวกันเราก็ไม่พูดถึงสยามและผู้ปกครองสยามในฐานะอาณานิคมของอาณาจักรที่ถูกเรียกว่า “หัวเมือง”

และเราก็ไม่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยภายใต้โมเดลการสร้างเมืองอาณานิคมแบบเดียวกับที่อังกฤษใช้บริหารอินเดีย สิงคโปร์ มาเลย์

เมื่อเป็นเช่นนี้คนไทยจึงขาดสำนึกเรื่องการ “ปลดแอก” ตนเองออกจากอาณานิคมแล้วชอบคิดว่าตนเองกับคนที่อยู่ในดินแดนแถบนี้เมื่อพันปีที่แล้วคือ ลูกหลานสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ตระหนักในการเป็นพลเมืองผู้อพยพของตนเองเช่น โดยมากบรรพบุรุษนั้นโล้เรือสำเภามาเป็นกุลีเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนี่เอง เป็นต้น

อีกทั้งไม่ตระหนักว่า บรรพบุรุษของตนเองอาจเป็นเพียงทาสในเรือนเบี้ย ถูกทำให้เป็นสินค้าในขบวนการค้ามนุษย์ของผู้ครองนครและบริษัทการค้าของเจ้าอาณานิคม

แต่กลับทึกทักว่าตนเองคือลูกหลานอันเป็นที่รักของต้นตระกูลไทยใจช่างห้าวหาญ

 

เมื่อไม่ตระหนักและมีแนวโน้มคิดเองเออเองว่า ภาษาไทยที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้คือมรดกของชาติไทย คนไทย มาเป็นหลายร้อยหลายพันปีหลั่งไหลมาไม่ขาดสายคือเอกลักษณ์ คือสัญลักษณ์ของเอกราชว่าไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร

ทั้งๆ ที่ภาษาไทยก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงและเพิ่งถูก standardized มาในกระบวนการสร้างชาติสมัยใหม่หลัง 2475

ผ่านกระบวนการสร้างพลเมืองผ่านการศึกษาภาคบังคับ อุตสาหกรรมการพิมพ์ การเผยแพร่แนวคิดเรื่องชาติ และพลเมืองแบบรัฐสมัยใหม่

ในกระบวนการเหล่านี้ยังมีหลายเรื่องของไทยที่ต้องสะสางให้เราเข้าสู่ความเป็นสากลและปลดแอกเราออกจากอาณานิคม

ไม่ใช่อาณานิคมภายนอก แต่เป็นอาณานิคมภายใน นั่นคือระบบและอุดมการณ์ของการเมืองระบอบเจ้าขุนมูลนายที่ยังตกค้างและเรายัง decolonized ไม่เสร็จ

เลขไทย การใช้ พ.ศ. ไวยากรณ์ การเขียนภาษาไทยที่ยังขาดเครื่องหมายวรรคตอนสากล ทำให้ระบบการเขียนของคนไทยสับสน อ่อนตรรกะ ไม่เอื้อต่อการเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบ เน้นเอาวลีอลังการมาเรียงต่อกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สุดเหมือนร่างโศลกกล่อมคนให้เคลิ้มไปวันๆ

 

ฉันคิดว่าเราจะคิดเรื่อง decolonization หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ก่อนอื่น คนไทยควรเลิกมีปมด้อยกับตนเอง แต่ควรโฟกัสเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งาน และประโยชน์ที่เราพึงได้รับจากการใช้งานของภาษาและตัวเลข

เช่น ภาษาไทยและไวยากรณ์สมควรได้รับการชำระให้ “ง่ายขึ้น” ได้ เนื่องจากเราก็ไม่ได้ชำระหลักภาษากันมาช้านานมาก และเราปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แก้ไข เปลี่ยนแปลงไม่ได้

และเลขไทยควรมีไว้สำหรับศาสตร์แห่งโหร การเขียนยันต์ การออกแบบงานวิจิตรศิลป์

ส่วนเอกสารราชการ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ทุกเรื่องสมควรใช้เลขอารบิกสากล

อีกทั้งเราควรค่อยๆ เคลื่อนตนเองไปสู่การใช้ ค.ศ. ให้ติดนิสัย เพื่อสามารถเทียบเคียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมของเรากับสากลโลกได้โดยง่าย เช่น 1968 มีขบวนการขบถคนหนุ่มสาวในยุโรป และ 1973 ปี 14 ตุลาฯ ในไทย เป็นต้น

ไม่ใช่โลกเขามี 1968 แล้วเราก็พูดเรื่อง 2516 ไปแบบไม่สัมพันธ์อะไรกับบริบทโลกเลย

หนักกว่านั้น คนไทยยังอ้างอิงเหตุการณ์ตามรัชสมัย เช่น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่สาม แทนที่จะได้พูดว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 18 เพราะถ้าเราอ้างอิงเป็นศตวรรษของสากล เราก็จะนึกภาพตามได้ทันทีว่าในศตวรรษนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และเราอยู่ตรงไหนในประวัติศาสตร์โลก

ความภาคภูมิใจในตนเองเกิดจากการรู้ “โลก” ไม่ใช่การหลงหลอกตัวเองว่า ฉันยิ่งใหญ่สวยงาม ฉันจะใช้เลขไทยใครจะทำไม

วางปมด้อยลงบ้าง แล้วชีวิตจะง่ายขึ้น จากนั้นจะได้กลายเป็นพลเมืองโลกเหมือนอย่างมนุษย์โลกปกติเขาเป็นกัน