มาเซราติ ‘MC20 Cielo’ สปอร์ตจ๋า สุดยอดรถเปิดประทุนค่าย ‘ตรีศูล’ / ยานยนต์ สุดสัปดาห์ : สันติ จิรพรพนิต

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์

สันติ จิรพรพนิต

[email protected]

 

มาเซราติ ‘MC20 Cielo’ สปอร์ตจ๋า

สุดยอดรถเปิดประทุนค่าย ‘ตรีศูล’

 

ค่ายตรีศูล “มาเซราติ” เขย่าตลาดรถซูเปอร์คาร์อีกครั้งด้วยการอวดโฉม “MC20 Cielo” (เอ็มซี20 แชย์โล) เวอร์ชั่นเปิดหลังคา

พัฒนาจาก Maserati Innovation Lab และผลิตที่โรงงาน Viale Ciro Menotti นับเป็นยนตรกรรมที่ผลิตในอิตาลี 100% เช่นเดียวกับรุ่นพี่ “เอ็มซี20 คูเป้”

ตัวอักษร MC ย่อจากคำว่า Maserati Corse ตัวเลข 20 แสดงถึงปี 2020 ซึ่งเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่ของแบรนด์ ขณะที่ชื่อรุ่น แชย์โล (Ceilo) หมายถึง “ท้องฟ้า” ในภาษาอิตาเลียน

ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ผ่านการทดสอบความลื่นไหลในอุโมงค์ลม ทั้งในขณะเปิดและปิดหลังคา

โครงสร้างตัวถังผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เบาแต่แข็งแกร่ง รองรับเวอร์ชั่นขับเคลื่อนไฟฟ้าในอนาคต มีน้ำหนักมากกว่ารุ่นคูเป้เพียง 65 กิโลกรัม

มาพร้อมสีเมทัลลิกใหม่ “Acquamarina” ใช้เทคนิคพ่น 3 ชั้น โดยสีหลักเป็นเทาพาสเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง เพิ่มความโดดเด่นด้วยเกล็ด acquamarine mica ส่องประกายระยิบระยับยามแสงตกกระทบ

ประตูปีกผีเสื้อ ช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกห้องโดยสาร

นวัตกรรมหลังคากระจกพับเก็บได้ ใช้เวลาเพียง 12 วินาที ความพิเศษอยู่ที่กระจก electrochromic (smart glass) ที่ใช้เทคโนโลยี Polymer-Dispersed Liquid Crystal (PDLC) สามารถปรับให้ใสหรือทึบแสงได้อัตโนมัติเพียงกดปุ่ม

ควบคุมระบบต่างๆ ได้ง่ายผ่านระบบ Maserati Intelligent Assistant (MIA) Multimedia และ Maserati Connect พร้อมเครื่องเสียง High Premium Sonus faber 12 ตำแหน่ง การันตีด้วยรางวัล EISA ประเภทเครื่องเสียงรถยนต์ ให้เสียงที่แตกต่างอย่างเป็นธรรมชาติ

ขุมพลัง “Nettuno” วี6 สูบ

ระบบช่วยเหลือผู้ขับ Active Safety Systems ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ถอยจอด, กล้องมองหลัง และระบบเตือนจุดอับสายตา รวมถึงระบบลดความเร็วอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน

ระบบจดจำป้ายจราจร และกล้องมองภาพ 360 องศาแบบใหม่ ซึ่งติดตั้งในตระกูลเอ็มซี20 ตั้งแต่โฉมปีนี้เป็นต้นไป

 

ช่วงนี้เกิดความเคลื่อนไหวหลากหลายยิ่งในวงการรถยนต์เมืองไทย ที่ฮือฮาสุดๆ ไม่พ้นการเข้ามาเปิดบริษัทของ “เทสลา” เจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้าโลก หลังสร้างกระแสไปก่อนหน้านี้ด้วยการเตรียมตั้งฐานการผลิตที่ประเทศอินโดนีเซีย

การเข้ามาของเทสลา แน่นอนว่าสร้างแรงกระเพื่อมแน่นอน เพราะปกติรถยนต์เทสลาได้รับความชื่นชอบและซื้อหามาวิ่งบนถนนเมืองไทยผ่านบริษัทนำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ต แม้จำนวนอาจไม่มากนักด้วยราคาค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ตาม การเปิดบริษัทจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย ทำให้ราคารถยนต์เทสลาต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ

เพราะต้องไม่ลืมว่าข้อตกลงทางการค้าทำให้ภาษีนำเข้าเป็น 0%

เบื้องต้นคาดว่าเทสลาน่าจะนำเข้ามาจากจีน ราคาจะต่ำกว่าปัจจุบันนับล้านบาท เพราะได้สิทธิลดภาษีสรรพสามิตในกลุ่มรถยนต์อีวี

ประเมินกันว่าโมเดลที่เทสลาจะนำมาจำหน่ายในไทยอาจมีราคาเริ่มต้นปริ่มๆ 2 ล้านบาท

ทำให้เจ้าตลาดรถอีวีจากจีน รวมถึงญี่ปุ่น ที่จะเข้ามาในอนาคตอันใกล้ ต้องทำการบ้านเพื่อรับมือ

ขณะที่ค่ายยุโรปหากเทสลานำรุ่นท็อปเข้ามา ได้ซัดกันตรงๆ เช่นกัน

พูดถึงการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์อีวี ตอนนี้กลายเป็นเรื่องปั่นป่วนในตลาดรถยนต์ เพราะหลังรัฐบาลคลอดนโยบายพร้อมตัวเลขที่ชัดเจนออกมาพักใหญ่ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ

พลอยทำให้ตลาดชะงักงัน เพราะคนซื้ออยากรู้ตัวเลขส่วนลดชัดๆ ขณะที่ค่ายรถทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะตั้งราคาแบบไหนถึงเหมาะสม

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คงต้องเร่งสปีดกันหน่อย

 

จากเรื่องเทสลา มากันที่การประกาศราคารถยนต์รุ่นเด่นๆ ที่ถูกจับตา ค่ายแรก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กับรถยนต์ไฟฟ้าสุดหรู “The new EQS 450+” ที่นำมาอวดโฉมเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ถึงเวลาที่ดาวสามแฉกจะประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ โดยเป็นรถนำเข้ามี 2 รุ่นย่อยคือ

The new EQS 450+ AMG Premium ราคา 8,570,000 บาท

The new EQS 450+ Edition 1 ราคา 8,870,000 บาท

เบื้องต้นส่งมอบรถให้ผู้แทนจำหน่ายแบรนด์ “Mercedes-EQ” อย่างเป็นทางการ 4 ราย ประกอบด้วย

บริษัท เบนซ์บีเคเค กรุ๊ป จำกัด, บริษัท เบนซ์ พระราม 3 จำกัด, บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด

พร้อมประกาศเดินหน้าขึ้นสายพานการผลิตในประเทศช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ถือเป็นการประเดิมกลยุทธ์ “รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (electric-only)

สำหรับ The new EQS 450+ ดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในผสานปรัชญา Sensual Purity

กระจังหน้าสีดำประดับด้วยลวดลายดาวสามแฉก ไฟหน้าสองฝั่งเชื่อมต่อกันด้วยเส้น light band ด้านบน

ไฟท้ายแบบ LED ที่มาพร้อมดีไซน์ 3D helix ระดับไฮ-เอ็นด์ภายในห้องโดยสาร

ภายในมีหน้าจอรูปทรงโค้งมนที่ยาวต่อเนื่องกันฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งเชื่อม 3 หน้าจอไว้ด้วยกัน

มีหน้าจอ OLED ขนาด 12.3 นิ้ว, 17.7 นิ้ว และ 12.3 นิ้ว

ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ความจุของแบตเตอรี่ 107.8 kWh กำลังสูงสุด 333 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุดได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

วิ่งไกลถึง 770 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง

 

ปิดท้ายกันที่ราคาของ “ฟอร์ด เรนเจอร์” ที่เปิดออกมาครบทุกรุ่นเรียบร้อย

ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีทั้งหมด 20 รุ่น ได้แก่ เรนเจอร์ แร็พเตอร์, ไวลด์แทรค, สปอร์ต, XLT, XL+ และ XL

รุ่นย่อย XL เป็นรถกระบะรุ่นเริ่มต้น มาพร้อมตัวถัง 4 แบบ ได้แก่ สแตนดาร์ดแชสซีส์แค็บ สแตนดาร์ดแค็บ โอเพ่นแค็บ และดับเบิ้ลแค็บ ราคาเริ่มต้นที่ 554,000 บาท

นอกจากนี้ มีฟอร์ด เรนเจอร์ XL มีรุ่นย่อยแบบขับเคลื่อน 4 x 4 มากับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร ทำงานคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด กำลังกำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิด 405 นิวตันเมตร ราคา 697,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ XL+ ตอนครึ่ง เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร ทำงานคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีรอบด้าน หน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC4A รุ่นล่าสุด ราคาเริ่มต้น 699,000 บาท

ที่ไม่เพียงช่วยเชื่อมต่อการสื่อสารและความบันเทิง แต่ยังแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับรถได้อย่างชัดเจน

รุ่น XLT ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีฟีเจอร์อัจฉริยะเพื่อการเชื่อมต่อ อาทิ แท่นชาร์จไฟไร้สาย กล้องมองหลัง และช่องต่อ USB บนกระจกมองหลัง มาพร้อม 5 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้น 799,000 บาท

นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ มีรุ่นที่เผยโฉมไปแล้วคือ “ไวลด์แทรค” แบบ 4 ประตูแต่งสวย มี 4 รุ่นย่อย ราคา 999,000-1,299,000 บาท

และสุดท้ายกับรุ่นดุดัน “แร็พเตอร์” เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร EcoBoost V6 กำลังสูงสุด 397 แรงม้า แรงบิด 583 นิวตัน-เมตร ราคา 1,869,000 บาท •

 

ชมคลิปเปิดตัว Maserati MC20 Cielo ได้ที่นี่