เมื่อ “เสี่ยหนู” สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น เมื่อ “บิ๊กตู่” ฝากความหวังไว้ที่ ชทพ. เมื่อ “นายกฯ คนนอก” ส่งขนมจีบ

หากกางรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ว่ากันไปตามตัวบทกฎหมายและเจตนาของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)

จะเห็นได้ชัดว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหลังจากยกร่างกฎหมายลูกเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 10 ฉบับ

เพราะ กรธ. และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่างใช้เวลาเต็มเหยียดในการยกร่างและพิจารณากฎหมาย

ทำให้การเลือกตั้งอาจจะมีขึ้นในช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562

จนบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ออกมาเร่งให้รัฐบาลกำหนดท่าทีที่ชัดเจนว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นเมื่อใด

เพราะนักการเมืองอาชีพทั้งหลายตกงานกันมา 3 ปีกว่าแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวันเลือกตั้งจะยังไม่ชัดเจนว่าจะมีขึ้นเมื่อใด

แต่ที่ชัดเจนคือรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนนอกได้ และยังเป็นการกำหนดในห้วงเวลา 5 ปี นับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรก

ส่งผลให้พรรคขนาดกลาง ไปจนถึงพรรคขนาดเล็ก สามารถเรียกราคาได้ไม่น้อยในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จากรัฐบาลผสมที่กุมบังเหียนโดยนายกรัฐมนตรีคนนอก

เห็นได้ชัดจากท่าทีของพรรคภูมิใจไทย ที่บรรดาลูกพรรคนับร้อยตบเท้าเข้าอวยพรวันเกิดเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ตึกซิโน-ไทย

นำทีมโดย เสี่ยตุ้ย สรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วย เสี่ยโอ๋ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค

งานนี้ เสี่ยตุ้ย สรอรรถ กล่าวอวยพรว่า

“วันนี้คนภายนอกมองว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไม่มีพรรคใดเป็นพรรคเสียงข้างมาก ดังนั้น โอกาสที่พรรคเราจะไปร่วมกับพรรคใดจึงมีสูง ด้วยประสบการณ์ทางธุรกิจและเป็นที่ยอมรับในแวดวงทูตานุทูต วันนี้ถ้าท่านหัวหน้าพรรคจะประกาศเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเชื่อว่าท่านมาถึงวันนี้ไม่ใช่โชคช่วย ท่านมีครบทุกอย่าง รอเพียงวันเวลาเท่านั้น วันนี้ท่านได้ลงสัมผัสประชาชนมากขึ้น ถ้าเปรียบเป็นยาเมื่อก่อนอาจเป็นยาทั่วๆ ไป แต่วันนี้ท่านคือยาสามัญประจำบ้านที่สามารถรักษาได้ทุกโรค มีแต่คนต้องการและอยากได้”

ทำให้เจ้าของวันเกิดยิ้มแก้มปริ พร้อมกล่าวขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันประคับประคองพรรคมา ณ เวลานี้ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรให้ดีที่สุด เชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเราเป็นประชาธิปไตย ตอนนี้ขอให้ทุกคนเริ่มยืดเส้นยืดสายภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนด

“ไม่ว่าจะประกาศเลือกตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ กลางปีหน้า หรือขยับไปปีหน้าอีกนิดหน่อย ผมพร้อม เลขาธิการพรรคก็พร้อม เมื่อถึงเวลาผมมั่นใจว่าแบรนด์พรรคภูมิใจไทยเราเป็นแบรนด์ที่ดี พวกเราร่วมเป็นร่วมตาย ผ่านอะไรกันมาเยอะกว่า 9 ปี เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ และชัยชนะก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากจนเกินไป เมื่อถึงวันลงคะแนน ผมขอให้ความมั่นใจว่าทุกคนจะไม่กลับบ้านมือเปล่าแน่ วันนี้ผมมีคำคำเดียวว่า พร้อมสู้ และพรรคภูมิใจไทยสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น” อนุทินกล่าว

อีกทั้งที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยตะลุยพื้นที่ภาคอีกสานไม่ใช่น้อย เห็นได้จากสถานการณ์น้ำท่วม ที่เสี่ยหนูนำลูกพรรคเข้ามอบสิ่งของ และช่วยเหลือประชาชนในจังหวัดต่างๆ และเข้าถึงชาวบ้านโดยตรง

ถือว่าเป็นท่าทีที่ชัดเจนของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่รู้ว่ามีสัญญาณพิเศษอะไรหรือไม่ที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีความมั่นใจที่จะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาก็ไม่น้อยหน้า เพราะปกติการลงพื้นที่ต่างจังหวัดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเยี่ยมประชาชน หรือการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ พล.อ.ประยุทธ์จะพบปะกับนัการเมืองเจ้าถิ่น

แต่ในการบุกแดนมังกร ที่มั่นของตระกูล “ศิลปอาชา” พล.อ.ประยุทธ์กลับยินดีที่รับการต้อนรับจากเจ้าของพื้นที่สุพรรณบุรีที่ยกขบวนมาต้อนรับ ประกอบไปด้วย ลูกท็อป วราวุธ ศิลปอาชา ประธานสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี ประภัตร โพธสุธน กรวีร์-ภราดร ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สรชัด สุจิตต์ อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี เสมอกัน เที่ยงธรรม อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี

อีกทั้งนายกฯ ยังมีการพบปะพูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง แถมยังเอ่ยฝากฝังว่า “ผมฝากกับพี่ประภัตร ฝากกับท็อป ฝากกับปริศนานันทกุล ผมขอฝากความหวังไว้กับทุกคน เราจะต้องไม่ขัดแย้งกันอีก เราต้องเดินหน้าให้ได้ ส่วนคดีใครถูกผิด ถูกตัดสิน ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ และผมไม่ใช้มาตรา 44 ไปตัดสินใคร อยากให้พี่ประภัตรนึกถึงคนจังหวัดอื่นด้วย เป็นรัฐบาลคราวหน้าก็นึกถึงคนจังหวัดอื่นด้วย”

จึงถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่เป็นการส่งตรงจาก พล.อ.ประยุทธ์ ถึงพรรคชาติไทยพัฒนาโดยตรง

ทว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้ต้องไม่ลืมตัวแปรที่สำคัญอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าใครจะมาเป็นผู้นำ และพรรคจะยังคงรูปพรรคการเมืองใหญ่ไว้ได้หรือไม่

เพราะก๊กก๊วนในพรรคเองก็มีไม่ใช่น้อย

อีกทั้งยังมีกระแสข่าวว่า อดีต ส.ส.ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างเริ่มมีท่าทีที่เริ่มไม่ไว้ใจบทบาทของพรรค และอาจจะย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น หรือตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชนิดหมาตายเห็บโดด

เพราะอย่างไรเสีย หลังเลือกตั้งจะไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้ และคงเป็นไปได้ยากที่พรรคเพื่อไทยจะรวมเสียงพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล หากเป็นเช่นนั้นการปฏิวัติก็จะเสียเปล่าในที่สุด ในเมื่อกฎหมายเขียนขึ้นมาเพื่อรองรับนายกฯ คนนอก แล้วไฉนเขาจะไม่ใช้มันให้คุ้ม!!

ส่วนพรรคเล็กพรรคน้อยก็แต่งตัวรอขันหมากได้เลย…