ปรากฏการณ์ ‘ชัชชาติ’ / ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ : หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ

หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC

 

ปรากฏการณ์ ‘ชัชชาติ’

 

เป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ไม่ได้ลุ้นอะไรเลย

เพราะ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” นำลิ่วมาตั้งแต่เปิดหีบจนปิดหีบ

และเป็นการนำแบบขาดลอย

ชนะอันดับที่ 2 ถึง 1 ล้านกว่าคะแนน

ขนาดผู้สมัครทุกคนเอาคะแนนมารวมกัน ยังแพ้ “ชัชชาติ” เลยครับ

ผมไปดูการนับคะแนนที่คูหาเลือกตั้งซึ่งอยู่ใกล้บ้าน

คะแนนของ “เบอร์ 8″ แทบจะล้นเกินช่องคะแนนในตาราง

ส่วนผู้สมัครคนอื่นๆ คะแนนยังไม่ได้ 1 แถวเลย

ใครที่สงสัยว่าปรากฏการณ์” แลนด์สไลด์” เป็นอย่างไร

ให้ดูการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้

เป็น “ชัชชาติฟีเวอร์” ของจริง

ขอคุยนิดนึงว่าผมทายผลการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เป๊ะมาก

ตอนที่เพื่อนที่ “ไทยรัฐทีวี” ส่งโพลของมหาดไทยมาให้ดูก่อนปิดหีบ

เป็นโพลภายในกระทรวงที่มีการประเมินกัน

เขาบอกว่า “ชัชชาติ” จะชนะด้วยคะแนน 900,000-1,000,000 คะแนน

วิโรจน์ที่ 2 อัศวินที่ 3 สกลธีที่ 4 สุชัชวีร์ที่ 5

ผมแย้งเพื่อนว่า “ชัชชาติ” น่าจะได้เกิน 1 ล้านคะแนน

คนที่ได้ที่ 2 และ 3 คะแนนรวมกันน้อยกว่า “ชัชชาติ”

“กูว่า ดร.เอ้ มาที่ 2”

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ กลุ่ม “อัศวิน” กับ “สกลธี” ตัดคะแนนกันเอง

ส่วนคนที่เคยคิดจะเลือก “วิโรจน์” พอเจอกระแส “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ของกลุ่ม กปปส.

เขากลัวฝั่งประชาธิปไตยจะแพ้

ก็เลยเปลี่ยนใจมาเลือก “ชัชชาติ”

คะแนน “วิโรจน์” จึงลดลง

ตอนลุ้นผลการเลือกตั้ง ผมไม่ได้สนใจ “ชัชชาติ” เลย

เพราะคะแนนทิ้งห่างมาก

แต่ “เอ้” กับ “วิโรจน์” ขับเคี่ยวกันสนุกมาก

ผลัดกันนำ

บางช่วงนำกันอยู่แค่คะแนนเดียว

สุดท้าย “สุชัชวีร์” ก็ชนะไปแค่หลักร้อยคะแนน

ส่วน “อัศวิน” หลุดไปที่ 5

แพ้ “สกลธี”

มีคนบอกว่าแค่ฝนตกครั้งเดียว

“อัศวิน” แพ้เลย

และที่น่าเจ็บใจก็คือ ตกหนักก่อนเลือกตั้งแค่ไม่กี่วันจนน้ำท่วม

แต่พอเลือกตั้งเสร็จ ผ่านมา 2 วันแล้วฝนไม่ยอมตกเลย

เหมือนแกล้งกันชัดๆ

 

ปรากฏการณ์ “ชัชชาติฟีเวอร์” ครั้งนี้ ส่งผลสะเทือนถึงการเมืองใหญ่อย่างมาก

เพราะไม่ใช่แค่ “ชัชชาติ” จะแลนด์สไลด์

แต่คะแนนของฝั่งต่อต้านการรัฐประหาร ไม่เอาเผด็จการ คือ “ชัชชาติ+วิโรจน์+ศิธา” เกิน 60%

ยิ่งผลการเลือกตั้ง ส.ก. 50 ที่นั่ง เพื่อไทยกวาดมา 20 ก้าวไกล 14 และไทยสร้างไทย 2

รวม 36 ที่นั่ง

หรือ 72%

ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐได้แค่ 2 ที่นั่ง

แบบนี้จะไม่ให้หนาวได้อย่างไร

เพราะเหมือนเป็นสัญญาณที่ “คนกรุง” ส่งถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ รูปแบบการทำงานของ “ชัชชาติ” นับจากนี้

คนจะนำไปเปรียบเทียบกับ พล.อ.ประยุทธ์

ระหว่าง “ผู้นำ” ที่มาจากประชาชนโดยตรง

กับ “ผู้นำ” ที่มาจากการสืบทอดอำนาจ คสช.

เพราะทั้งคู่แตกต่างกันชัดเจน

“ชัชชาติ” มีบุคลิกที่อ่อนน้อมและรับฟังความเห็น

ติดดิน ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย

ขี่จักรยาน หรือนั่งรถสาธารณะเป็นประจำ

ซึ่งตรงกันข้ามกับ “ลุงตู่” โดยสิ้นเชิง

ที่สำคัญ “ชัชชาติ” ทำงานหนักมาก

แค่วันแรกหลังการเลือกตั้ง แม้ว่า กกต.ยังไม่รับรอง ยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.อย่างเป็นทางการ

เขาก็ลุยงานแล้ว

ไปตรวจคลอง ไปชุมชนคลองเตย ดูโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ล่าช้า ฯลฯ

คนที่น่าสงสารที่สุด คือ “นักข่าว”

เพราะการตรวจงานแบบ “ชัชชาติ” นั้นถึงลูกถึงคนมาก

ไม่ใช่แค่เข้าห้องประชุมนั่งฟังการรายงาน

คืนวันเลือกตั้ง หลัง “ชัชชาติ” ให้สัมภาษณ์นักข่าว

มีนักข่าวคนหนึ่งต้องโพสต์ขอโทษเพื่อนนักข่าวด้วยกัน

เพราะเขาเป็นคนตะโกนถาม “ชัชชาติ” ว่าพรุ่งนี้งานแรกที่จะทำคืออะไร

คำตอบของ “ชัชชาติ” ก็คือ เขาเริ่มต้นที่สวนลุมฯ เพราะไปวิ่งที่สวนลุมฯ และได้รับฟังปัญหาจากชาวบ้าน

“พรุ่งนี้ ตอนเช้าคงจะไปวิ่งที่สวนลุมฯ”

เช้าของเขา คือ ตีห้าครึ่งครับ

แล้วนักข่าวจะไม่ไปหรือครับ

ก็ต้องไป

นั่นคือ เหตุผลที่น้องคนนี้โพสต์ขอโทษเพื่อนๆ

 

“ชัชชาติ” เป็นคนที่บ้าพลังมาก

เขาออกกำลังกายด้วยการวิ่งทุกวัน

วันละประมาณ 10 ก.ม.

แต่เหตุผลที่ออกกำลังกายประจำ ไม่ใช่เพื่อตัว “ชัชชาติ” เอง

แต่เขาออกกำลังกายเพื่อ “ลูกชาย”

“แสนปิติ” เป็นเด็กที่มีปัญหาด้านการได้ยินมาตั้งแต่เล็ก

ตอนที่ “ชัชชาติ” มาบรรยายที่หลักสูตร ABC เรื่อง LEADERSHIP

ทุกคนคิดว่าจะเป็นประสบการณ์ตอนที่เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือซีอีโอ ควอลิตี้ เฮ้าส์

แต่ไม่ใช่ครับ

เขาบอกว่าช่วงที่ได้เรียนรู้เรื่องการเป็น “ผู้นำ” ที่ดีที่สุดชีวิตของเขา คือ เมื่อรู้ว่าลูกชายมีปัญหาเรื่องการได้ยิน

ต่อให้ “ชัชชาติ” จะเป็นมนุษย์ที่เปี่ยมด้วยหลักเหตุผล เป็นวิศวกร

แต่วินาทีนั้น สิ่งแรกที่เขาทำก็คือ การเข้าไปจุดธูปไหว้พ่อ

ไปไหว้พระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

เพื่อหวังให้เกิดปาฏิหาริย์

แต่เมื่อเรียนรู้ว่า “ปาฏิหาริย์” ไม่มีจริง เขาก็กลับไปยืนอยู่บนหลักเหตุผลเหมือนเดิม

เขาตัดสินใจพาลูกชายไปผ่าตัดที่ออสเตรเลีย

แต่ไม่ใช่แค่ผ่าตัดเพียงอย่างเดียว

ทั้งตัวเขาและภรรยาต้องไปอยู่ที่ออสเตรเลียนานพอสมควร เพื่อเข้าคอร์สอบรมคุณพ่อคุณแม่ในการเลี้ยงดูลูกต่อไป

“ชัชชาติ” ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อลูก

และเหตุผลที่เขาออกกำลังกาย ก็คือ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนที่จะได้ดูแลลูกไปนานๆ

น่ารักไหมครับ

แต่ที่น่ารักกว่า คือ ตอนที่เขาเล่าเรื่องลูก

“แสนปิติ” ตอนนี้มี “หูวิเศษ” คือ เครื่องช่วยฟัง

ตามปกติก็คุยกันธรรมดา

แต่ถ้าวันใดคุณพ่อเริ่มบ่น

ถ้าบ่นมาก จนลูกเริ่มรำคาญ

“แสนดี” จะแก้ปัญหาแบบที่เด็กทั่วไปทำไม่ได้

เขาดึง “หูวิเศษ” ออกครับ

พอดึงออกปั๊บ

พ่อพูดอะไร เขาก็ไม่ได้ยิน •