ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
เหยี่ยวถลาลม
วันพิพากษา
22 พฤษภาคม 2565 วันลงคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นวันคล้าย “วันรัฐประหารของ คสช.”
“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวกับผู้มาร่วมแสดงความยินดีและสื่อมวลชนให้ได้ยินกันไปทั่วโลกว่า “…วันนี้ เป็นวันที่มีความหมายสำหรับผมส่วนตัวด้วยนะ เพราะเมื่อ 8 ปีที่แล้วเกิดรัฐประหาร ผมอยู่ในเหตุการณ์ ผมถูกคลุมหัว มัดมือ คืนนี้ ตอนนี้ นาทีนี้ที่ผมถูกนำตัวไปที่ไหนยังไม่รู้ เพราะตอนกลับเขาก็คลุมหัว ก็เลยไม่รู้อยู่ไหน 7วัน”
ก่อนรัฐประหารเพียงไม่กี่เดือน “ชัชชาติ” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศซึ่งรัฐบาลกำลังเตรียมร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทตามที่เรียกกันว่า “พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน”
ในคราวนั้นเองเกิดคมวาทะอันโด่งดังจากผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์พูดพลางมองหน้า “ชัชชาติ” ว่า
“…ทำถนนลูกรังให้หมดไปจากประเทศไทยก่อนคิดถึงระบบความเร็วสูง รถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย และเงินกู้ 2 ล้านล้านนั้นคุณชัชชาติตายไปเกิดใหม่มา รุ่นลูกรุ่นหลานยังใช้หนี้ไม่หมด ผมก็ไม่รู้ว่าลูกผมอยากใช้หรือเปล่าหนี้ที่สะสมไป”
แต่ “ชัชชาติ” ก็เผยอยิ้ม อธิบายด้วยความหวังจะนำพาประเทศไทยก้าวล้ำไปข้างหน้าก่อนใครในอาเซียนว่า “ใช้หนี้ 50 ปีนั้นผมคิดว่ายังอยู่ ผมอยู่ถึง ผมยังแข็งแรง ยืนยันจะอยู่จนใช้เงินกู้บาทสุดท้าย”
คำอธิบายของ “ชัชชาติ”ไม่ใช่เป็นแต่จินตนาการอันเลื่อนลอย หากเป็นแผนสร้างอนาคตประเทศไทย 2020 ที่จะพลิกโฉมประเทศ ทุกคนจะได้ใช้ในปี 2563 ประกอบไปด้วย รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าใน กทม. ถนนสี่เลน ด่านศุลกากร ศูนย์กระจายสินค้า มอเตอร์เวย์ ถนนเชื่อมประตูการค้า ท่าเรือ ปรับปรุงระบบรถไฟ ทางยกระดับข้ามทางรถไฟ ฯลฯ กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ
เงินกู้ 2 ล้านล้านตามแผนสร้างอนาคตประเทศไทย 2020 นั้นเป็น “การลงทุน” ไม่ใช่กู้มากินกู้มาใช้
แต่แล้ว…แผนที่เดินทางของประเทศก็ต้องจบลงในทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า “ร่าง พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน” ขัดรัฐธรรมนูญ
บนท้องถนน เต็มไปด้วย “นักจุดไฟ” ที่กำลังสุมฟืนและราดน้ำมัน ออกปฏิบัติการปิดล้อมและยึดสถานที่ราชการ ปิดถนน ปิดบ้านปิดเมือง ปิดสนามบิน
ทั้งสิ้นทั้งปวงเพื่อปูทางสู่ “รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557”!
ในทันทีที่คณะรัฐประหารใช้อำนาจปิดหูปิดตาปิดปากประชาชนก็โฆษณาชวนเชื่อว่า “ขอเวลาไม่นาน”
แต่จนถึงวันนี้ กว่า 8 ปีเข้าไปแล้ว นายกรัฐมนตรียังคงชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คนคนเดียวกับที่เป็น “หัวหน้า คสช.” ผู้นำรัฐประหาร
“ประยุทธ์” เป็นผู้นำรัฐบาล และจัดทำงบประมาณมาแล้ว 9 ปีงบประมาณ
เป็นหนี้ตั้งแต่ปีแรกไปจนถึงปีหน้า รวมแล้ว 5.5 ล้านล้าน ไม่เห็นจะมีใครดิ้นทุรนทุรายออกอาการจะเป็นจะตายหรือลุกขึ้นมาเทศนาว่า “คุณประยุทธ์กับพวกตายไปเกิดใหม่ รุ่นลูกรุ่นหลานยังใช้หนี้ไม่หมด”
“22 พฤษภาคม 2557” จึงเป็นวันแห่งความทรงจำ
รัฐประหารนำมาซึ่งความวิบัติขัดสนและจนถ้วนหน้า!
เมื่อมาถึง “22 พฤษภาคม 2565” จึงกลายเป็นวันแห่งโอกาสของ กทม.ที่จะได้ส่งเสียงเพื่อบอกกล่าวด้วย “คะแนนเสียง”
“อัศวิน ขวัญเมือง” คนที่ประยุทธ์เคยใช้อำนาจ ม.44 แต่งตั้งให้นั่งเป็น “ผู้ว่าฯ กทม.” มากว่า 5 ปี มีคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งครั้งนี้ 214,692 คะแนน ขณะที่ “ชัชชาติ” ได้ 1,386,215 คะแนน
ห่างกันถึง 1,171,523 คะแนน ทั้งๆ ที่โค้งสุดท้ายก่อนถึงวันหย่อนบัตร “ชัชชาติ” ก็ตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกกลุ้มรุมจากเหล่ามารร้ายหน้าเก่าก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จนต้องออกมาโพสต์เตือนว่า “เราไม่ได้นอนมา” เพื่อสื่อความถึงคน กทม.ว่า ถ้านิ่งนอนใจ “ชัชชาติ” ก็อาจจะแพ้ได้
ท่ามกลางฝุ่นการเมืองตลบอบอวลนั้น ยังมีกรณีที่ “อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต.ออกมากล่าวย้ำกับผู้ที่วิตกกับโควิดระบาดและคิดจะพกพาปากกาส่วนตัวไปกากบาทว่า “ขอเน้นย้ำ หากจะนำปากกามาเอง ขอให้เป็นปากกาเฉพาะสีน้ำเงินเท่านั้น อย่านำสีอื่นมาเพราะจะทำให้บัตรเสียได้”
จู่ๆ “สีหมึกของปากกา” ก็กลายเป็นประเด็นดราม่าจะทำให้ “กากบาท” ในบัตรดีกลับกลายเป็นบัตรเสีย – เป็นไปได้อย่างไร!?
ที่สุด ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ก็ทนไม่ไหวต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตั้งคำถามว่า “มีเหตุผลทางกฎหมายอย่างไร มีตัวบทแจ้งชัดหรือเป็นเพียงการตีความของ กกต.”
ใช้มือระดับปรมาจารย์สยบ คลื่นลมจึงสงบ!
“กกต.” ออกโรงแถลง “การใช้ปากกาสีอื่นไม่ได้หมายความว่า จะเป็นบัตรเสียทันที เนื่องจากไม่มีกฎหมายหรือระเบียบห้ามไว้”
คลื่นคน กทม.ออกมาเทคะแนนให้ “ชัชชาติ” ได้คว้าชัยอย่างถล่มทลายทำลายทุกสถิติที่มา ทิ้งห่างอันดับ 2 ถึง 1,131,568 คะแนน
ปิดจ๊อบดราม่าทั้งหลายในพริบตา
คงเหลือ “คำถาม” ให้สังคมไทยได้ทบทวนความทรงจำ
กฎหมายอาญาต้องบัญญัติให้ชัดเจน แน่นอน!
การกระทำใดจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ต้องดูจาก หนึ่ง การกระทำนั้น “ครบองค์ประกอบ” ที่กฎหมายบัญญัติหรือไม่ สอง ต้องเป็นการกระทำที่เป็น “ความผิด” และสาม ต้องเป็นการกระทำที่เป็น “ความชั่ว”
“รัฐประหาร” หมายถึง การใช้กำลังพลรบของกองทัพกับอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับทำสงครามเข้าแย่งยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งเป็นการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองชั้นต่ำสุด กฎหมายอาญาบัญญัติให้เป็นความผิดร้ายแรง ถือเป็นความชั่ว จึงกำหนดโทษถึงขั้น “ประหารชีวิต”
โลกเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นพฤติกรรมป่าเถื่อน นักรัฐประหารจึงแทบจะสูญพันธุ์ ยังคงเหลืออีกไม่กี่แห่งที่นิรโทษความผิดให้ได้เชิดหน้าอยู่ในสังคม ยังเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น สืบทอดอำนาจ ทำลายโอกาสของประเทศ!?!!