“วาง” นะโยม

สาธุชนพึงสดับ การสนทนาธรรม

ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

กับ พระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร

ระหว่างการลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี วันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา

ดังนี้

พระธรรมพุทธิมงคล : เรื่องที่หนึ่ง หายใจคลายเครียด

เวลามีเรื่องอะไรเครียดให้หายใจเข้าทางจมูกลึกๆ และหายใจออกทางปากนับไป 10 ครั้ง

โบราณท่านว่าไว้ ว่ามีอะไรเครียดให้นับ 1 ถึง 10 นั้นคือการนับลมหายใจ

เรื่องที่สอง เรื่องการสวดมนต์

ตรรกะง่ายๆ เราจะรักใคร เคารพใคร เชิดชูบูชาใคร เราต้องเห็นความดีของเขา

คนไทยรักในหลวง เพราะสัมพันธ์ความดีในหลวงทุกวัน

มุสลิมรักอัลเลาะห์สุดชีวิตจิตใจ สรรเสริญอัลเลาะห์วันละ 5 ครั้ง

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ชาวพุทธของเรารักพระพุทธเจ้ามากๆ

ก็ขอให้สวดมนต์เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อย่างน้อยก่อนนอนวันละครั้ง

ก่อนเข้าทำงานขอเวลา 10 นาทีสวดมนต์เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ตามแบบหนังสือสวดมนต์ที่อาตมามอบให้

หนังสือเล่มนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เครียดอ่านแล้วจะคลาย สบายอ่านแล้วจะเครียด

พล.อ.ประยุทธ์ : ตอนนี้ยังไม่ค่อยสบาย

พระธรรมพุทธิมงคล : เมื่อไม่สบายก็ต้องอ่าน (มอบรูปเหมือนหลวงพ่อโตให้) เป็นสิ่งที่หาค่าไม่ได้ ขอให้นำไปกราบบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัว

พล.อ.ประยุทธ์ : จะนำคำสั่งสอนของหลวงพ่อไปปฏิบัติ

ก่อนมาก็พูดคุยกันในรถกับคณะรัฐมนตรี คล้ายกับที่หลวงพ่อได้บอก มีเวลาว่างก็ให้สวดมนต์ 10 นาที รวมทั้งให้มีสมาธิสูดลมหายใจ 10 ครั้ง โดยวิธีกลั้นใจ และหายใจออกทางปาก

สำหรับผมก็ได้ปฏิบัติมาบ้างแล้ว โดยมีตัวเลข 4 ครั้ง คือ สูดลมหายใจเข้าแล้วนับ 1 ถึง 4 พร้อมทั้งกลั้นไว้โดยนับ 1 ถึง 7 พอ 8 ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ถ้าทำได้เช่นนี้ก็จะมีสติกลับคืนมา

ผมนำหลักการนี้มาจากต่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีอินเดียบอกให้ทำเช่นนี้ ซึ่งตรงกับศาสนาพุทธของเรา สูดหายใจเข้า กลั้นลมหายใจก่อนผ่อนลมหายใจออก เลือดจะได้สูบฉีดขึ้นสมอง สมองจะได้ไม่ตาย รวมทั้งให้พิสูจน์ด้วยว่าเราถนัดหายใจจมูกข้างใด มีความซับซ้อนขึ้น

ซึ่งกลางคืนก่อนนอนผมก็จะสวดมนต์ทุกคืน

พระธรรมพุทธิมงคล : การสวดมนต์ก่อนนอนเป็นสิ่งที่ดี ถือเป็นการขจัดไวรัสสมอง เพราะสมองคนเราบันทึกเรื่องราวไว้จำนวนมาก ถ้าไวรัสลงเมื่อไรสมองก็ใช้ไม่ได้

จำเป็นต้องสวดมนต์ให้ใจเป็นสมาธิ ซึ่งสมาธิเท่านั้นจะขจัดไวรัสสมองได้

นายกรัฐมนตรีมีเรื่องอยู่เต็มหัวให้เอาออกเสียบ้าง

(จากนั้นพระธรรมพุทธิมงคลได้ขอจับมือนายกรัฐมนตรี) พร้อมกล่าวว่า มือคนเราต้องว่าง

แบมือออกมา มือต้องว่าง จึงจะสามารถหยิบทุกอย่างได้

จงทำให้เหมือนมือ

อย่ายึดถือ ไม่ยอมวาง

ท่านกำอะไรไว้

ถ้าจะหยิบของใหม่ โดยไม่วางของเก่า ก็หยิบไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ : (กล่าวแย้งทันที) ก็ของเก่าไม่เสร็จจะทำอย่างไร

พอจะเริ่มของใหม่ ปัญหาเก่าก็กลับมาอีก ปัญหาเดิมไม่ยอมจบ มันแย่ตรงนี้

หลวงพ่อให้ผมนับ 1 ถึง 10 ก็พยายามจะทำให้ได้ แต่พอนับได้แค่ 3 ก็โมโหแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็จะอดทนต่อไป

รัฐบาลนี้ก็โอเคไม่ต้องห่วง ยึด 3 สถาบันเป็นหลัก วันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง คนเรายังไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลง แต่ผมก็จะทำทุกอย่าง อย่างเต็มที่

พระธรรมพุทธิมงคล : พระพุทธเจ้าต้องทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง

ถ้าจิตว่างทุกอย่างจะพร้อม มือคนเราพร้อมที่จะหยิบอะไรได้ทันทีให้ทำแบบอัตโนมัติ ถ้าพยายามทุกอย่างก็จะสำเร็จ

และขอให้ยึดหลักสัมมาวายามะ มีอยู่ 4 องค์ที่ผู้บริหารต้องทำ คือ ป้องกัน แก้ไข สร้างสรรค์ อนุรักษ์ เป็นหลักของความเพียรชอบ ในหลักอริยมรรคมีองค์ 8

พล.อ.ประยุทธ์ : รัฐบาลนี้ทำงานโดยยึดหลักอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้กับประชาชน

พระธรรมพุทธิมงคล : ขอให้ต่อสู้กับทุกข์ ต้องนึกสนุกเห็นทุกข์แจ้งใจ

หาเหตุพบเหตุ ดับเหตุให้ได้ จึงจะมีชัยชนะทุกข์ทั้งปวง

น่าสนใจคำสนทนาธรรมของพระธรรมพุทธิมงคล

ที่มุ่งแก้ความเครียดเป็นพิเศษ

โดยเสนอให้แก้ความเครียด ด้วยการสวดมนต์ การกำหนดลมหายใจ

และที่สำคัญคือ การว่าง และวาง

โดยยกตัวอย่างมือ

เมื่อมือ “ไม่ว่าง” ก็หยิบของใหม่ไม่ได้

เมื่อมือ “ไม่วาง” ของเก่าก็หยิบของใหม่ไม่ได้เช่นกัน

จึงควรรู้จัก “ว่าง และ วาง”

ซึ่งแน่นอนว่า คงกระทบใจ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่พอควร

จึงได้แย้งในแทบจะทันทีว่า “ก็ของเก่าไม่เสร็จจะทำอย่างไร พอจะเริ่มของใหม่ ปัญหาเก่าก็กลับมาอีก”

การแย้งนั้นสะท้อนอะไรในใจของ “ผู้นำ”

พล.อ.ประยุทธ์มาเฉลยในเวลาต่อมา เมื่อกล่าวกับประชาชนสุพรรณบุรีที่มาต้อนรับกว่า 1,200 คน ว่า

“หลวงพ่อสอนให้มีสติ สมาธิ อดทน ทำงานใจเย็นๆ ปล่อยวาง อย่าแบกรับปัญหาไว้ทั้งหมด

ผมสัญญาหลวงพ่อจะนับถึง 10 แต่นับถึง 3 ก็หยุดเพราะโมโหก่อนทุกที

ระหว่างนี้ก็เป็นไปตามโรดแม็ป กฎหมายลูกออกเมื่อไรก็เมื่อนั้น พอประกาศก็นับวันเลือกตั้งไปอีกกี่เดือน ใช้เวลา 3-5 เดือน

กฎหมายมีวิธีการอยู่แล้ว ไม่ใช่ประกาศเลือกตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ได้รัฐบาล รัฐธรรมนูญเขียนไว้หมดแล้ว

ทำไมต้องให้ผมมาบอกว่าเลือกตั้งวันที่เท่าไร พอบอกไปวันนี้วันนั้น แล้วทำไม่ได้ก็ถูกมองว่าสืบทอดอำนาจ ยื้อเอาไว้

ขอให้เชื่อ พูดขนาดนี้แล้ว พอได้แล้ว

วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยี คอมเมนต์ กดไลก์กันเยอะแยะ ถ้าสร้างสรรค์ไม่ว่า

แต่ถ้าด่ากันไปมาขอถามว่าแบบนี้จะปรองดองได้หรือไม่ ด่าแบบไม่มีเหตุผล เปิดมา 50 ข้อความ ด่าผมเหมือนหมูเหมือนหมา อีก 50 ให้กำลังใจ อยู่ไปนานๆ

ผมไม่รู้เหมือนกันจะเหลือเท่าไร แต่ยิ่งอยู่นาน คนไทยขี้เบื่อ เบื่อหน้าผม จำไว้นิทานอีสปมีอยู่ กบน้อยในสระ กบเลือกนาย เลือกให้ถูก หรือจะเลือกนกกระสามาอีก

รัฐบาลยืนยัน เดินหน้าตามโรดแม็ปการเลือกตั้ง และการเลือกตั้ง

ขออย่าเลือกคนที่ไม่ดี คนที่คิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง

แต่จะต้องเลือกคนที่มีจิตสาธารณะ

ที่รัฐบาลทำทุกวันนี้แสดงถึงความจริงใจว่าวันหน้าเราจะเดินไปอย่างไร

และนี่คือการปรองดองสมานฉันท์ ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ด่ากันไปมา

ทุกอย่างที่ผิดกฎหมายต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมถึงจะจบ ต้องพิจารณาคดีอย่างครบถ้วน

ส่วนจะตัดสินอย่างไรว่าตามกระบวนการ แต่เมื่อทำกลับโดนด่า กล่าวหารัฐบาลไล่ล่า ปัญหาเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ต่างประเทศก็เป็นแบบนี้ มีนักสิทธิมนุษยชน ประเทศไม่ต้องทำอะไร ประท้วงกันอยู่นั่น ประเทศประชาธิปไตยก็เป็นแบบนี้

“ผมไม่ได้กลัว แต่อย่ามาไล่ผม ไล่ยังไงตอนนี้ก็ไม่ไป ผมจะไปตามโรดแม็ป เพราะเข้ามาแล้ว อย่าให้ต้องเข้ามาอีก อย่าให้ต้องใช้กำลังอีก เพราะผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก พอได้แล้ว”

ซึ่งก็หมดจด จะแจ้ง

ว่าไฉน พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่ว่าง และไม่วาง

แม้พระผู้ใหญ่จะเตือนสติ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็มีเหตุผลอันหนักแน่นของตน

คือจะต้องทำของเก่าให้เสร็จ และมองไปถึงข้างหน้าอย่างการวางยุทธศาสตร์ 20 ปี

ซึ่งแน่นอน เมื่อเลือกเดินทางนี้ ก็ย่อมเผชิญ “แรงกดดัน” ที่หนักหน่วงขึ้นทุกที

เพราะอีกด้านถูกมองว่า นี่คือ “การสืบทอดอำนาจ”

ด้วยมุมมองดังกล่าว จึงมีกระแสการเรียกร้องที่ดังขึ้นทุกทีๆ ให้กำหนดวันเลือกตั้งอันแท้จริงออกมาเสียที

เพื่อที่จะคืนสิทธิให้ประชาชน ที่คณะรัฐประหารยึดมา

แต่กระนั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็ยืนกรานที่จะเดินตามโรดแม็ปที่วางไว้ต่อไป

ขณะเดียวกันก็เดินหน้าหาเสียงสนับสนุนมากยิ่งขึ้น

การเข้าพบพระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะ จ.สุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ที่นำมาสู่ประเด็น “ว่างและวาง” ก็เป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีสัญจรที่คราวนี้ไปยังสุพรรณบุรี และอยุธยา

ถือเป็นการลงคลุกคลีกับชาวบ้าน เพื่อสร้างคะแนนนิยม และตอกย้ำปัญหาในอดีตที่ต้องแก้ไข

พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำในสิ่งที่เคยย้ำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นั่นคือระวังจะกลับไปอยู่ในวิกฤตเหมือนเก่า

และระวังจะตกอยู่ในภาวะ “กบเลือกนาย” ซึ่งจะกลายเป็นเหยื่อนกกระสาในที่สุด

ด้วยชุดความเชื่อเช่นนี้เอง จึงยากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะซาบซึ้งในรสพระธรรมของการ “ว่าง” และ “วาง”

ตรงกันข้าม ยังพร้อมที่จะโมโห และลุยกับฝ่ายขัดขวาง แบบฟันต่อฟัน ตาต่อตา เพื่อ “อยู่ยาว” ต่อไป!