หนังเหนียว ยิงไม่เข้า ฆ่าไม่ตาย/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

หนังเหนียว ยิงไม่เข้า ฆ่าไม่ตาย

 

ขอย้ำอีกครั้งว่า หลังรัฐสภาสั่นกระดิ่งเปิดประชุมสมัยสามัญประจำปี 2565 ครั้งที่ 1 ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ การเมืองไทยจะเดือดปุด-ปุด รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ราวกับอุ้มหม้อน้ำร้อน ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ต้องเผชิญหน้ากับวิบากกรรมมากมายสารพัด เรียงรายเป็นตับ เริ่มจาก “พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566” วงเงิน 3,185 ล้านล้านบาท

คำว่า “งบประมาณ” ชื่อก็บอกว่า มันหอมหวาน ส.ส.ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ต่างพากันอ้าปากหวอ “น้ำลายสอ” อย่างน่าเอ็นดู เวทนา จึงเป็นสิ่งปกติธรรมดา ไม่มีใครหน้าไหนยอมทุบหม้อข้าวตัวเอง ทั้งๆ มีเงื่อนไขให้เผด็จศึกได้ในหลายช่องทาง ดังที่บอกกล่าวไว้เมื่อฉบับที่แล้วว่า

ตามกรอบรัฐธรรมนูญ 2560 แห่งมาตรา 156 ว่าด้วย “การประชุมร่วมของรัฐสภา” ไม่ได้กำหนดให้ “วุฒิสมาชิก” เข้าร่วมประชุมด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” ล่อกันเพียงลำพังฝั่งเดียว

ดังนั้น การที่เสียงสนับสนุนรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” จาก 19 พรรคการเมือง ซึ่งตอนนี้ไม่ได้แกร่งเต็มถัง ล้นกะละมังดุจเดิม หลัง “กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” แตกตัวไปจากพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย 18 เสียง บวกกับพรรคขนาดเล็ก รวมตัวกันเป็น “กลุ่ม 16” พลังมด หมายยกกระดูก

จึงเป็นห้องเครื่องให้ฐานเสียงรัฐบาล “บิ๊กตู่” จากเดิมมีกำลังมากเหลือเฟือ ลดระดับเหลือ “ปริ่มน้ำ” หากกลุ่ม “ผู้กองธรรมนัส+กลุ่ม 16” แหกด่านมะขามเตี้ยมาจับมือกับฝ่ายค้าน 8 พรรค

แต่เมื่อไม่มีงบประมาณ จะพากันอดอยากปากแห้งด้วยกันทุกฝ่าย ด้วยประการดังกล่าว แม้เงื่อนไขในการล้มรัฐบาล “บิ๊กตู่” เปิดประตูจังก้า ก็ไม่มีใครกล้าลงมือ

ผ่าน “พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี” ไปได้สบายๆ ถึงเดือนมิถุนายน “ฝ่ายค้านร่วม” กำหนดคิวยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามกลไกแห่งมาตรา 151 เข้าชื่อกัน ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ

“ศึกซักฟอก”ครั้งที่ผ่านมา สี่ซ้าห้าครั้งไม่ว่าจะตามช่องทางมาตรา 151 หรือ 152 “ฝ่ายค้านร่วม” โดนสบประมาท กลิ่นการดูถูกดูแคลนด้านลบ ว่า ท่าดีทีเหลว ก่อนทำศึก คุยโม้โอ้อวดสารพัด เหมือนมีของแน่ แต่เอาเข้าจริง เหลวเป๋วไม่เป็นท่า

คาบนี้ จะไม่เอาแต่ป้อ ล่อไม่เป็น จะ “วิสามัญ” ให้ “บิ๊กตู่” อกพรุนดับสยอง เตรียมข้อมูลไว้เต็มสต๊อก ว่าด้วยความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน-จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ-การทุจริตต่อหน้าที่ เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง

ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ผิดทั้งหลักนิติธรม-คุณธรรม ความโปร่งใส ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ไร้ความน่าเชื่อถือในการจัดการแก้ปัญหาสารพัด

ทำให้ประชาชน พ่อค้าแม่ขาย เจ้าของธุรกิจน้อยใหญ่เดือดร้อนกันถ้วนหน้า จากการบริหารที่ไร้ความรับผิดชอบ ประเทศสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ จากความผิดพลาดในการบริหารจัดการ

พรรคฝ่ายค้านเชื่อขนมกินว่า ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ น่าจะเผด็จศึกล้มกระดาน “ลุงตู่” ให้ร่วงกลางสภาได้ไม่ยาก เนื่องจากพรรคฝ่ายค้าน 8 พรรค มีต้นทุนอยู่ในมือแล้ว 208 เสียง การทำให้เสียงไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง แค่ 238 ที่นั่ง ต้องการเพิ่มแค่ 30 ที่นั่ง จึงไม่น่ายาก เพราะเสียงจาก กลุ่ม “ผู้กองธรรมนัส+กลุ่ม 16” จะเป็นตัวแปรที่สำคัญ

ซึ่งขณะนี้แต่ละพรรคได้รวบรวมข้อมูล เตรียมความพร้อม ทั้งบุคคล และเอกสาร หลักฐาน โดยจะยื่นญัตติให้เร็วที่สุด คาดว่า พอ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองผ่านรัฐสภาในวาระ 3 ฝ่ายค้านจะยื่นเช็กบิลโดยพลัน

 

อย่างไรก็ตาม หากมอง “เชิงบวก” คือรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หนังเหนียว ยิงไม่เข้า ฆ่าไม่ตาย ใช้ “กล้วย” เป็นยันต์กันผี “ลุงตู่” ยังเป็นจองขมังเวทย์

ผ่านฉลุย ทั้งศึกงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 แคล้วคลาด “ศึกซักฟอก-อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ฝ่ายค้านไม่มีน้ำยา ทื่อยิ่งกว่าสากกะเบือแช่ครก อยู่รอดปลอดภัยได้ไปต่อ ต้องไปเจอกับ “กับดักสุดท้าย”

ว่าด้วยปัญหาการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 258 วรรค 4 ที่ระบุว่า “วาระการดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี” ซึ่งมีการถกเถียง มองต่างมุมกันมากว่า จะเริ่มนับหนึ่งอย่างไร วันไหน

ฝ่ายค้านมองว่า “พล.อ.ประยุทธ์” รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 หลัง คสช.ยึดอำนาจ การดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีบริบูรณ์ ต้องวันที่ 23 สิงหาคม 2565

แต่ฝ่ายสนับสนุน หรือกองเชียร์ “บิ๊กตู่” ส่วนหนึ่งมองว่า ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้คือวันที่ 6 เมษายน 2560 จึงต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ในวันที่ 5 เมษายน 2568 จะครบ 8 ปีเต็มในปี 2568 ยังอยู่ได้อีกครึ่งเทอมหากชนะเลือกตั้ง หากสภาชุดนี้อยู่ครบเทอม 4 ปีถึงปี 2566

อีกกลุ่มเห็นว่า ต้องนับจากจุดสตาร์ตวันที่มีการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 แล้ว คือวันที่ 9 มิถุนายน 2562 “พล.อ.ประยุทธ์” สามารถเป็นนายกฯ ควบต่อไปได้ถึงปี 2570 จึงจะครบ 8 ปี เท่ากับยังต่อวีซ่าไปได้ยาวอีก 6 ปี

ประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปีเมื่อไหร่ของ “พล.อ.ประยุทธ์” หากกรณีที่ 1 พ.ร.บ.งบประมาณผ่านฉลุย กรณีที่ 2 คือศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ “พล.อ.ประยุทธ์” สอบผ่าน “ฝ่ายค้าน” ไม่มีน้ำยา โหลยโท่ย ดังแต่ท่อ ล้อไม่หมุนเหมือนเก่า

ก็ต้องชี้ชะตากันในกรณีที่ 3 คือ การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ตามมาตรา 258 ซึ่งฝ่ายค้านมีการลับมีดรอล่อเป้าไว้แล้วหลังวันที่ 23 สิงหาคม 2565

เข้าเกณฑ์ปุ๊บ ยื่นให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยปั๊บ

ศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่กำลังจะจบข่าว รู้หมู่รู้จ่า ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ กระจกเงาสะท้อนอนาคตของ “พล.อ.ประยุทธ์” ได้ดีในระดับหนึ่ง