ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
พอสงครามยูเครนระเบิด
โลกก็แข่งขันสร้างสมอาวุธครั้งใหญ่
พอเกิดสงครามยูเครน งานแสดงสินค้าเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ทั่วโลกปีนี้จะมีความคึกคักมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาแน่นอน
ที่น่ากลัวคือโลกกำลังจะเห็นการแข่งขันสร้างเสริมแสนยานุภาพทางทหารอย่างร้อนแรงอีกครั้งหนึ่ง
สมรภูมิรบที่ยูเครนเป็นเสมือน showroom สำหรับประเทศผลิตอาวุธขายให้กับประเทศต่างๆ
เศรษฐกิจของประเทศผลิตอาวุธจะเฟื่องฟู ประเทศปานกลางและยากจนที่มีความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านก็จะพยายามปรับขึ้นงบประมาณทางทหาร
ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจก็จะหนักหน่วงขึ้นอีก
โลกกำลังเข้าสู่ช่วงจังหวะอันตรายอีกครั้ง
สำหรับผู้เชี่ยวชาญและระดับนโยบายหลายๆ ประเทศ การรุกรานยูเครนของรัสเซียเป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงมาก่อน
จะเชื่อเรื่อง “สิ่งที่คาดไม่ถึง” มันเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วต่อหน้าต่อตาจริง
มาถึงวันนี้ สงครามรอบใหม่นี้กำลังกระตุ้นให้มีการประเมินความสามารถทางทหารและการจัดสรรงบประมาณด้านกลาโหมอีกครั้งในวงกว้างอย่างปฏิเสธไม่ได้
พอเกิดสงครามยูเครน ประเด็นเรื่อง “งบประมาณเพื่อความมั่นคง” ในหลายๆ ประเทศในยุโรปก็กลายเป็นเรื่องใหญ่
ก่อนหน้านี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต้องการเห็นพรรคการเมืองใดนำเสนอนโยบายยกระดับการเสนอให้เพิ่มงบฯ ทางทหาร
เพราะมีความเข้าใจว่าสงครามใหญ่ๆ คงจะไม่เกิดขึ้นอีก
หรือหากจะมีความขัดแย้งระหว่างประเทศก็คงจะมาในรูปของสงครามการค้าหรือสงครามไซเบอร์
แต่ไม่ใช่สงครามที่จะทดสอบกันด้วยอาวุธแบบสงครามโลกครั้งที่สองอีก
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส นายเอ็มมานูเอล มาครง เคยตราหน้า NATO ว่าเป็น “สมองตาย” (brain dead)
คล้ายกับจะบอกว่าว่ากลไกของสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือแห่งนี้หมดความหมายแล้ว ไม่เหมาะกับจุดประสงค์ในยุคปัจจุบัน
แต่วันนี้ หลังจากสงครามยูเครนทดสอบความสามารถของแต่ละประเทศที่จะขนเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ในคลังแสงของตนมาสำแดงเดชกันแล้ว ฟินแลนด์และสวีเดนกำลังจะสมัครเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ
เป็นการเปลี่ยนท่าทีอย่างมีนัยสำคัญทีเดียว
สหรัฐอเมริกาและยุโรปต่างเร่งลำเลียงความช่วยเหลือทางทหารไปให้ยูเครน
ไม่ว่าจะขีปนาวุธต่อต้านรถถังหรือต่อต้านอากาศยาน
อีกทั้งยังเร่งรัดให้ผู้รับเหมาด้านการป้องกันเร่งการผลิตโดยด่วนเพื่อต้านการรุกคืบของรัสเซีย
เราอยู่ในยุคใหม่ของความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและสมาชิก NATO
วลาดิมีร์ ปูติน จะเดินหน้าทุกวิถีเพื่อระงับยับยั้งการขยายสมาชิกภาพของนาโต
พันธมิตรทางทหารที่นำโดยวอชิงตันกำลังเสริมกำลังปีกตะวันออกด้วยกองกำลังและยุทโธปกรณ์ทันสมัย
จึงไม่ต้องแปลใจที่เกิดแนวโน้มว่ารัฐบาลทั่วโลกกำลังจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้นและและเร็วขึ้น
สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute หรือ SIPRI ) รายงานว่า งบประมาณทางการทหารทั่วโลกทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ (68 ล้านล้านบาท) ในปี 2564 เป็นครั้งแรก
และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีก
หลายประเทศในยุโรปตะวันออกยังคงพึ่งพายุทโธปกรณ์สมัยโซเวียตที่ล้าสมัย
ในขณะที่สมาชิกนาโตสามารถสนับสนุนประเทศเหล่านี้ด้วยอาวุธยุคใหม่ที่จะยับยั้งรัสเซีย
เป็นที่รู้กันว่าปูตินได้พยายามผลักดันงบประมาณด้านทหารมาหลายปีเพื่อปรับปรุงกองทัพของมอสโกให้ทันสมัย
พอเกิดสงครามยูเครน กองทัพรัสเซียที่ส่งเข้าไปยูเครนไม่สามารถตอบสนองเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้น
เกิดคำถามว่าต้นทุนที่รัสเซียลงไปกับการสร้างแสนยานุภาพทางทหารของรัสเซียมายาวนานนั้น “คุ้มค่า” หรือไม่
กลายเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับทุกประเทศในยามนี้
นั่นคือ ประสบการณ์ของรัสเซียสอนว่าเงินไม่ได้รับประกันผลลัพธ์ที่ดีกว่าเสมอไป
นักวิจัยด้านนี้ชี้ว่าการใช้จ่ายด้านการทหารทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2564 อันเป็นการสร้างสถิติใหม่
ในขณะที่รัสเซียยังคงเสริมกำลังกองทัพของตนก่อนที่จะบุกยูเครน
คาดกันว่าประเทศต่างๆ ในยุโรปจะหันมาสร้างเสริมศักยภาพทางทหารกันครั้งใหญ่หลังสงครามยูเครน
เพราะไม่มีใครไว้ใจใครได้อีก
รายงานของ Sipri ระบุว่า แม้จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลก แต่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็ยังขยายคลังอาวุธ
โดยปีที่แล้วการใช้จ่ายด้านการทหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 0.7%
ในปี 2564 การใช้จ่ายทางทหารเพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ติดต่อกันโดยมีมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ นั่นเป็นตัวเลขสูงสุดที่เราเคยมีมา
งบฯ ทหารของรัสเซียเพิ่มขึ้น 2.9% ซึ่งเป็นปีที่ 3 ของการเติบโตติดต่อกัน ขึ้นไปเป็น 65.9 พันล้านดอลลาร์
ค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมคิดเป็นร้อยละ 4.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของรัสเซีย ซึ่ง “สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกมาก”
เท่ากับอันดับ 5 ของโลก
รายได้จากน้ำมันและก๊าซที่สูงขึ้นช่วยดันให้รัสเซียปรับเพิ่มรายจ่ายด้านการทหารอย่างเห็นได้ชัด
แนวโน้มเช่นนี้สะท้อนในความเคลื่อนไหวของรัสเซียในการรวบรวมกองกำลังติดชายแดนยูเครนก่อนการรุกรานยูเครนที่เริ่มเมื่อ 24 กุมภาพันธ์
แต่ท่ามกลางการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยโลกตะวันตกต่อรัสเซียจะทำให้รัสเซียสามารถควักกระเป๋าซื้อหาและผลิตอาวุธเพิ่มอย่างต่อเนื่องหรือไม่ยังเป็นคำถามใหญ่
ปี 2557 รัสเซียผนวกไครเมีย มอสโกถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากโลกตะวันตก
เป็นจังหวะเดียวกับที่ราคาพลังงานลดลง
จึงเป็นเรื่องยากที่จะประเมินว่ามาตรการคว่ำบาตรมีผลกระทบต่อแผนการพัฒนากองทัพและอาวุธของรัสเซียเพียงใด
มาถึงวันนี้ มาตรการคว่ำบาตรรุนแรงขึ้น แต่ราคาพลังงานก็แพงขึ้นด้วย
รัสเซียได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันและก๊าซที่สูงขึ้น แต่จะสามารถรักษาระดับงบฯ ทางทหารในระดับเดิมได้หรือไม่ก็เป็นประเด็นที่น่าวิเคราะห์
ด้านยูเครนนั้น งบฯ กลาโหมเพิ่มขึ้น 72% นับตั้งแต่รัสเซียผนวกไครเมีย
แต่ก็ลดลงกว่า 8% ในปี 2564 มาอยู่ที่ 5.9 พันล้านดอลลาร์
กระนั้น ก็ยังคงสัดส่วนคิดเป็น 3.2% ของจีดีพีของยูเครน
เมื่อความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในยุโรป ประเทศของ NATO ก็เพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น
ปีที่แล้วสมาชิก 8 ประเทศของนาโตบรรลุเป้าหมายการใช้จ่าย 2% ของสหรัฐมีงบฯ ทางทหารสูงกว่าใคร ด้วยยอด 801 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับกระแสโลก
น่าสังเกตว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของสหรัฐเพิ่มขึ้น 24% ในขณะที่การจัดซื้ออาวุธลดลง 6.4%
นักวิจัยสังกัด Sipri บอกว่า “รัฐบาลสหรัฐได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยีของกองทัพสหรัฐเหนือคู่แข่งทางยุทธศาสตร์”
ใครที่ติดตามการใช้งบทหารของจีนมาตลอดจะเห็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จีนมีงบฯ ใช้จ่ายด้านการทหารสูงเป็นอันดับสองของโลกด้วยเงินประมาณ 293,000 ล้านดอลลาร์
เท่ากับเพิ่มขึ้น 4.7%
นับเป็นการเพิ่มขึ้นของงบฯ กลาโหมปีที่ 27 ติดต่อกัน
เมื่อจีนเสริมเขี้ยวเล็บทางกองทัพ เพื่อนบ้านที่หวั่นกลัวการสยายปีกของปักกิ่งก็ย่อมต้องปรับตัวเช่นกัน
งบฯ ทางทหารของญี่ปุ่นเพิ่มเงิน 7 พันล้านดอลลาร์ เท่ากับบวก 7.3% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นประจำปีสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2515
ออสเตรเลียก็มีค่าใช้จ่ายด้านการทหารเพิ่มขึ้น 4% โดยแตะระดับ 31,800 ล้านดอลลาร์ในปี 2564
อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายมากเป็นอันดับสามของโลกที่ 76.6 พันล้านดอลลาร์ก็ปรับงบฯ เช่นกันในปี 2564 แม้จะเป็นการขยับขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.9 %
สหราชอาณาจักรยึดอันดับที่ 4 โดยมีงบฯ ใช้จ่ายทางทหารเพิ่มขึ้น 3% เป็น 68.4 พันล้านดอลลาร์
มายืนแทนที่ซาอุดีอาระเบียซึ่งลดงบฯ ทหารลง 17% เหลือประมาณ 55.6 พันล้านดอลลาร์
งบฯ กลาโหมของไทยและอาเซียนคงหนีไม่พ้นที่จะต้องปรับตัวตาม…เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ควรจะต้องวิเคราะห์ในบริบทรอบๆ บ้านเรา